tag:blogger.com,1999:blog-61104406433238405032024-03-13T03:14:23.783-07:00รวมบทความสุขภาพ เกร็ดความรู้และเคล็ดลับสุขภาพ ข้อมูลโดยแพทย์และโรงพยาบาลต่างๆHealth and care 2day รวมบทความสุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บ อาหารเสริม ลดความอ้วน ทันกระแสสุขภาพ เกร็ดความรู้ และเคล็ดลับสุขภาพ ข้อมูลโดยแพทย์ และโรงพยาบาลต่างๆUnknownnoreply@blogger.comBlogger48125tag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-82546433473666754092015-05-28T01:01:00.003-07:002015-05-28T01:01:47.728-07:00ลิปสติกแท่งโปรดหักอย่าทิ้งนะ มาดูวิธีซ่อมที่ง่ายแสนง่ายกัน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEietpBwxEqGlaVTZ-HHaety4pnPGhymlfmSo6cCb6pz6QLAT3lo-TZdZA4v5gUn09NP7a1WYPwnyO6MHJ0F9dQdbf7mcE6o6zpJI2dF-nZexLe-3WndtHScmstzPNS5Y3lQgg-gMmX4L5M/s1600/00000000.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="324" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEietpBwxEqGlaVTZ-HHaety4pnPGhymlfmSo6cCb6pz6QLAT3lo-TZdZA4v5gUn09NP7a1WYPwnyO6MHJ0F9dQdbf7mcE6o6zpJI2dF-nZexLe-3WndtHScmstzPNS5Y3lQgg-gMmX4L5M/s640/00000000.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
เคยไหมที่ลิปสติกสุดรักสุดโปรดเกิดหักขึ้นมา...เอาล่ะ!!!ทำอย่างไรในเมื่อต้องใช้ทุกวันไม่ต้องตกใจไปค่ะ วันนี้มีวิธีซ่อมลิปสติกหัก มาเล่าสู่กันฟัง และสามารถนำไปใช้ได้เลยค่ะ<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม</span></b><br />
<br />
1. ลิปสติกที่หัก<br />
2. ไฟแช็ค หรือไม้ขีดไฟ<br />
3. ตู้เย็น<br />
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-RqxmKagJB7ow_6WNXsKnupeEBE0CjNwI_VowNH93_eziQbsFAjr7mNc489BlaKG3ylqIqI1w9bmUDzgvuk49CTl2adsHjiv1uCKz6niNKZTfu6ONGO95RGsDppGySptVwJmV7KxLbJk/s1600/011.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="342" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-RqxmKagJB7ow_6WNXsKnupeEBE0CjNwI_VowNH93_eziQbsFAjr7mNc489BlaKG3ylqIqI1w9bmUDzgvuk49CTl2adsHjiv1uCKz6niNKZTfu6ONGO95RGsDppGySptVwJmV7KxLbJk/s640/011.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
ขั้นตอนที่ 1 เตรียมลิปสติกและไฟแช็คหรือไม้ขีดไฟ<br />
<br />
ขั้นตอนที่ 2 ใช้ไฟลนให้เนื้อลิปสติกบนแท่งละลาย<br />
<br />
ขั้นตอนที่ 3 รอให้ลิปสติกเย็นตัวลงเล็กน้อย<br />
<br />
ขั้นตอนที่ 4 จับลิปสติกส่วนที่หักมาต่อเข้ากับแท่งแล้วใช้ไฟลนรอบๆ รอยต่อ<br />
<br />
ขั้นตอนที่ 5 นำไปแช่ตู้เย็นประมาณครึ่งชั่วโมง<br /><br /><b><span style="color: #b45f06;">ขอบคุณที่มา : นิตยสาร Cosmopolitan<br /><br /></span></b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-27343181907335717472015-05-27T23:19:00.002-07:002015-05-27T23:19:21.020-07:00เผยสูตรเด็ด! รักษาสิวง่ายๆด้วยกระเทียม เห็นผลจริง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhuTwSMKcm9Q4R2TQC_YoQpwuKQ58_-BGnQffqYJoo30NlUdYi3eluQCoATXN6Hw-ruN9ll3VxyugGK4OVZ8nLCKHTnJbkMRG3jr-NcolITOEsZxdJ1wGXfJ7hUW7TYPpxONhWp7w0yEQc/s1600/00000000.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="378" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhuTwSMKcm9Q4R2TQC_YoQpwuKQ58_-BGnQffqYJoo30NlUdYi3eluQCoATXN6Hw-ruN9ll3VxyugGK4OVZ8nLCKHTnJbkMRG3jr-NcolITOEsZxdJ1wGXfJ7hUW7TYPpxONhWp7w0yEQc/s640/00000000.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
อยู่ดีๆ<b>สิว</b>ก็ขึ้น แล้วจะต้องทำยังไง แล้วมันจะขึ้นนานไหม ต้องซื้อยาตัวไหนมาทา หรือถ้าถึง กินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็คงจะต้องไปพบแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางหรือคลินิคเวชสำอางค์อย่างที่เราคุ้นเคยกันทั่วไปแล้วแน่ๆ แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุปวิธีรักษาแบบนั้นน่ะค่ะ วิธีธรรมชาติ โดยการใช้ของคู่ครัวของคนไทยก็น่าสนใจไม่แพ้กัน สาวๆคนไหนที่เริ่มมีสิวอักเสบ รู้สึกกระสับกระส่ายกับสิ่งแปลกปลอมบนใบหน้า ลองเดินเข้าไปในครัว แล้วลองหามาใช้กันดู<br />
<br />
<b>กระเทียม </b>กระเทียมสามารถกำจัดสิวได้เนื่องจากมีส่วนประกอบของซัลเฟอร์ และเป็นหนึ่งในยาที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคอื่นได้อย่างดี อันได้จากธรรมชาติการรักษาสิวด้วยกระเทียมนั้นค่อนข้างง่าย แค่ปลอกเปลือกกระเทียม แล้วหั่นกระเทียม นำน้ำที่ออกมาจากส่วนที่หั่นมาทา ตรงบริเวณที่เป็นสิวอักเสบ ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 8-10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ<br />
<br />
หรืออีกวิธีคือ ปอกเปลือกกระเทียม นำไปบด ผสมกับน้ำอุ่น 1 ถ้วย นำสำลีชุบน้ำที่ผสมแล้ว มาทาบริเวณที่ต้องการ ทิ้งไว้ให้แห้งเหมือนวิธีแรก แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนความงามค่ะ การใช้กระเทียมทาผิวที่เป็นสิวนั้นไม่เพียงแค่กำจัดสิวเท่านั้น แต่ยังช่วยกำจัดรอยจุดด่างดำจากสิว และสิวหัวหนองได้ด้วย<br />
<br />
และมากไปกว่านั้นการบริโภคกระเทียมก็ยังช่วยแก้ปัญหาเรื่อง<b>สิว</b> กินกระเทียมดิบทุกวัน วันละ 3 หัว ในเวลา 3 เดือน จะช่วยทำความสะอาดกระแสเลือด ทำให้การส่งผ่านออกซิเจนไปที่เซลล์ผิวได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยจัดการกับสิวได้ดีขึ้นและทำให้สิวหายได้เร็วขึ้น หากรู้สึกไม่ชินกับกลิ่นอันรุนแรงของกระเทียม อาจใช้วิธีแช่กระเทียมที่บดแล้วในน้ำนมประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนดื่มนั่นจะช่วยขจัดกลิ่นของกระเทียมออกไป ในขณะที่ยังคงความสามารถของผลที่ได้ในการรักษาของกระเทียมเอาไว้อยู่ค่ะ<br /><br /><b>ข้อมูลจาก <a href="http://www.phuketbulletin.co.th/Lifestyle/view.php?id=347" rel="nofollow" target="_blank">phuketbulletin</a></b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-15693710009771145552015-05-19T06:02:00.002-07:002015-05-19T06:02:21.402-07:00โชควาสนาเนื้อคู่ ดูจากไฝ คนไร้คู่เข้ามาเช็คด่วน !<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEpet6KyBhYfJWITa7xuhrcic2tRGbmZS0rzj-jiMSEzrwhF1UqaUFFrh0DvnHa92UKu2eug7BhwSioal4uCN5wSP69yqNkvyUEoVbR9kTBkToVQQLjrEm1viHGaE5Vq8070GcpbDG_nk/s1600/00000000.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="412" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEpet6KyBhYfJWITa7xuhrcic2tRGbmZS0rzj-jiMSEzrwhF1UqaUFFrh0DvnHa92UKu2eug7BhwSioal4uCN5wSP69yqNkvyUEoVbR9kTBkToVQQLjrEm1viHGaE5Vq8070GcpbDG_nk/s640/00000000.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ศีรษะ</span></b><br />
จะได้คู่ที่ดีมีฐานะการงานมั่นคงเป็นซื่อตรงในความรักและรักคุณอย่างจริงใจ<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่คิ้ว</span></b><br />
เนื้อคู่จะอยู่ใกล้ๆตัว เป็นคนผิวพรรณดี อาจจะอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ หรือมีญาติพี่น้องแนะนำให้รู้จักกัน<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ขมับ</span></b><br />
คู่ของคุณจะเป็นคนที่สังคมยอมรับ มีชื่อเสียง โดดเด่นในสังคม และอายุไม่มาก พอๆกัน ถ้าแต่งงานหลังอายุ 25ปี แล้วจะทำให้มีความสุขความเจริญ<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่อวัยวะเพศ</span></b><br />
จะต้องแต่งงานหลายครั้ง หรือมีคู่หลายคน อีกทั้งคู่ครองยังเคยแต่งงานมาแล้วแต่หย่าร้าง<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;"> ไฝที่ส้นเท้า</span></b><br />
เนื้อคู่นั้นเป็นคนที่ห่างไกล เป็นคนต่างพื้นที่กันหรืออาจต่างชาติ ต่างภาษากัน<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ก้น</span></b><br />
คู่ครองจะเป็นคนเก่ง มีความรู้ความสามารถรอบตัว<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่สีข้าง</span></b><br />
จะมีคู่ครองที่คอยดูแล คอยปกป้อง และเป็นคนที่รักกันอย่างจริงใจ<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ข้อศอก</span></b><br />
คู่แท้นั้นเป็นคนที่ฐานะทางการเงินมั่นคง มีความรู้มาก สติปัญญาดี<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่อก</span></b><br />
เนื้อคู่ของคุณนั้นเป็นคนดี ฉลาดครบเครื่อง เก่งกาจรอบตัว<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ขาหนีบ</span></b><br />
ได้คนดีมาเป็นคู่ครอง แต่จะค่อนข้างอาภัพ ไร้คู่แท้ที่จะครองรักครองเรือนกันอย่างยาวนาน<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่หน้าแข้ง</span></b><br />
ได้คนที่รักเราเป็นอย่างดี คอยดูแลเอาใจใส่กันมีฐานะมั่นคง<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝตรงกลางระหว่างคิ้ว</span></b><br />
ชะตาชีวิตจะได้คู่ที่มีผิวพรรณสะอาดสะอ้าน แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ ที่คบหากันได้ยาวนานนัก ไม่ใช่คู่ที่ถาวร ถ้าเนื้อคู่เป็นคนที่มีอายุมากกว่าหลายปีๆจะช่วยให้ชีวิตรักสุขสมบูรณ์<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่หู</span></b><br />
ค่อนข้างมีดวงในทางเจ้าชู้ แต่มีโชคคือได้คนดีมาเป็นคู่ครอง<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่คาง</span></b><br />
เนื้อคู่เป็นคนที่รอบรู้ มีความสามารถหลากหลายฐานะมั่นคง แต่อาจต้องทำใจ ต้องเจอกับความรักที่ไม่ลงตัว รักซ้อน ซ่อนเงื่อน ต้องชอกช้ำระกำใจ<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่หลังหู</span></b><br />
เนื้อคู่นั้นเป็นคนไกล อาจเป็นชาวต่างชาติ หรือเคยไปอยู่ต่างแดนหรือที่ที่ห่างไกลมาก่อน<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ริมฝีปากบน</span></b><br />
ต้องมีคู่มากมายคบกับคนหลายคนก่อนที่จะได้พบกันกับคู่แท้และเป็นคนที่รอบรู้ ทรงภูมิจะครองรักกันอย่างยาวนาน<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่คอหอย</span></b><br />
เนื้อคู่เป็นคนพูดเก่ง ฝีปากจัดจ้าน แต่จะอยู่ใกล้ๆ ตัวนี้แหละไม่ต้องมองคนไกลๆ<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่บ่า</span></b><br />
คนใกล้ตัวนี้แหละที่เป็นเนื้อคู่ของเรา อาจเป็นเพื่อนๆกันมาอย่างยาวนาน จะคอยดูแลห่วงใยรู้ใจกันเป็นอย่างดี<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่แขน</span></b><br />
คู่แท้จะเป็นคนดี คอยให้ความช่วยเหลือ ดูแลซึ่งกันและกันด้วยดีเสมอมา<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ริมฝีปากล่าง</span></b><br />
จะได้เนื้อคู่ที่มีความรักให้กันและกันอย่างดี แต่เขาคนนั้นหรือเธอคนนั้นอาจติดชอบสนุกสนานเกินไปหน่อย<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่หัวเข่า</span></b><br />
จะได้คู่ครองที่เป็นคนต่างถิ่น ต่างแดน<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่เอว</span></b><br />
คู่แท้ของคุณจะคอยช่วยส่งเสริมให้ร่ำรวย เมื่อแต่งงานมีลูกด้วยกันแล้ว<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่หลังมือ</span></b><br />
จะได้คู่ที่มีความมั่นคง ทั้งเรื่องฐานะการเงิน การงานและรักกันอย่างจริงใจ ชีวิตมีความสุข ไม่ทุกข์ร้อน<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ฝ่าเท้า</span></b><br />
ดวงจะมีคู่รักกันดี คอยดูแลกันและกัน เป็นที่ชื่นชมของคนรอบข้าง<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ท้อง</span></b><br />
ได้คู่ที่เป็นคนดี แต่จะอยู่กินไม่ยืดยาวนัก<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ข้อมือ</span></b><br />
เนื้อคู่เป็นคนที่คอยดูแลเกื้อกูลกันเป็นอย่างดี ถึงแม้จะเป็นคนที่ค่อนข้างแตกต่างกัน<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ท้ายทอย</span></b><br />
หากเป็นชายจะมีเนื้อคู่ที่มีหลายอย่างคล้ายๆกัน หากเป็นหญิง จะได้พบคู่แท้แต่เมื่อพบรักกันแล้วต้องพลัดพรากห่างไกลกัน<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ไหล่</span></b><br />
ต้องเกิดความขัดแย้งกันอยู่บ่อยๆกับคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันก็เนื่องจากความคิดเห็น ความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างกัน<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่กลางหลัง</span></b><br />
จะไม่มีคู่ที่คบกันอย่างจีรังยั่งยืน อาจจะเป็นตัวเราเองที่เจ้าชู้มีคู่มีกิ๊กอีกหลายคน หรือไม่ก็อาจเป็นเขาที่รักสนุกคบกับคนอีกมากมาย ขาดคู่แท้ที่จะครองรักกันอย่างยาวนาน<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ใต้ตา</span></b><br />
เป็นดวงที่ต้องมีคู่รักหลายคน ต้องเปลี่ยนแปลงกันอยู่บ่อยๆกว่าจะพบคู่แท้ที่ร่วมกันสร้างครอบครัวในภายหลัง<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่แก้มขวา</span></b><br />
เนื้อคู่เป็นคนที่อยู่ไม่ไกลตัว ถึงแม้ไม่ร่ำรวยแต่ก็เป็นคนที่มีความคิดคล้ายคลึงกัน<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ลูกตา</span></b><br />
จะได้คู่แท้เป็นคนมีความรู้ และเป็นคนที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป แต่ก่อนนั้นก็จะเปลี่ยนคู่อยู่บ่อยๆ<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่หางตาซ้าย</span></b><br />
คู่จะมีรูปงาม แต่จะอยู่กันไม่นาน ถ้าหากคบคนที่นิสัยใจคอ ไม่ใช่ดูเพียงหน้าตาจะอยู่กันได้อย่างยาวนาน เป็นคู่แท้ที่รักกันอย่างจริงใจ<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ริมจมูก</span></b><br />
เนื้อคู่เป็นคนที่มีความรอบรู้ ฐานะดี แต่ตัวคุณค่อนข้างเจ้าชู้มีคู่มาแล้วหลายคน<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่หางตาขวา</span></b><br />
เป็นคนที่ฉลาดปราดเปรื่อง รอบรู้วิทยาการ จะต้องได้คู่รักที่เก่ง มีไหวพริบจึงจะเข้ากันได้ดี คุยกันรู้เรื่อง<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่หางคิ้ว</span></b><br />
เนื้อคู่เป็นคนที่มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด อายุอาจต่างกันหลายปี อาจแก่กว่า หรืออ่อนกว่า แต่จะเป็นคนที่ฐานะดี มีความมั่นคง ขี้หึงมาก หรืออาจเป็นคนฝรั่งต่างชาติ แต่คุณจะมีคู่เยอะตามประสาคนเจ้าชู้<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่หัวตา</span></b><br />
ซ้ำรักก็หลายครั้ง ผิดหวังอยู่บ่อยๆ เนื้อคู่เป็นคนที่อยู่ไม่ไกล แต่เมื่อเห็นกันตอนแรกจะยังไม่ปิ๊งกันน่ะ<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่ดั้งจมูก</span></b><br />
มีคู่ที่ร่ำรวย มีเกียรติมีคนนับหน้าถือตา<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ไฝที่แก้มซ้าย</span></b><br />
เสน่ห์แรงเป็นไฝเสน่ห์ มีคู่มากคบกับใครไม่นานก็ต้องเลิกรากัน คู่แท้อาจเป็นฝรั่งตาน้ำข้าว หรือคนต่างถิ่น<br /><br /><b>ข้อมูลจาก <a href="http://www.promdeva.com/HoraItemDetail.asp?ItemID=626" rel="nofollow" target="_blank">อาจารย์ อันติกา อริยชวัล</a></b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-75725386505503353822015-05-19T00:51:00.000-07:002015-05-19T00:51:05.795-07:00สูตรผิวหน้าสวยใส ด้วยสับปะรด<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVrmkvr8KhhU0TGyPcVFuZJx46N9OFHv8MyVR2bHkuxPQuR-QWoMO0M_sffNxHP9dLnx3ORWZWsgBns4_WRhyq4gkGKY3Zg4eaaWe_R-PJeiVX_1G7VKjGfl3mx_MMqxmXWXRec826oos/s1600/v1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="334" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVrmkvr8KhhU0TGyPcVFuZJx46N9OFHv8MyVR2bHkuxPQuR-QWoMO0M_sffNxHP9dLnx3ORWZWsgBns4_WRhyq4gkGKY3Zg4eaaWe_R-PJeiVX_1G7VKjGfl3mx_MMqxmXWXRec826oos/s640/v1.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
ผลไม้ที่มีคุณค่าต่อความงามของผิวพรรณจากการที่สับปะรดมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยเซลล์ที่ตายแล้วของชั้นผิวหนังให้หลุดออกมา มีประโยชน์ต่อผู้ที่มีสิวหัวดำอุดตันที่ใบหน้า ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้น สับปะรดยังมีสรรพคุณในการช่วยลดการอักเสบและยังมีวิตามินเอ วิตามินซี ช่วยต้านอนุมูลอิสระและมีเกลือแร่อีกหลายชนิดช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh0ljvqMO6SMpkm_XPuqTsL-zxgSkSTHmYCwogP7JIh-ryPQgP3O9fyawnYlLTWabq9-WXc7KcO86KciUbusPFPLhwxB5Fe5Zl4tPntBa3rCLw9stO8hMOxpDeSB6BNZflhM-6lmhBKnt8/s1600/v2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="346" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh0ljvqMO6SMpkm_XPuqTsL-zxgSkSTHmYCwogP7JIh-ryPQgP3O9fyawnYlLTWabq9-WXc7KcO86KciUbusPFPLhwxB5Fe5Zl4tPntBa3rCLw9stO8hMOxpDeSB6BNZflhM-6lmhBKnt8/s640/v2.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<b><span style="color: #cc0000;">การเตรียมสับปะรด</span></b><br />
<br />
นำสับปะรดมาปอกเปลือกออกและล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นให้ละเอียด<br />
<br />
<b><span style="color: #cc0000;">วิธีใช้</span></b><br />
<br />
<b><span style="color: #cc0000;">- วิธีที่ 1 </span></b>น้ำสับปะรดที่กรองแล้ว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด 3 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ล้างหน้าให้สะอาด พอกให้ทั่วบริเวณใบหน้า ยกเว้นบริเวณปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออก<br />
<br />
<b><span style="color: #cc0000;">- วิธีที่ 2</span></b> ใช้น้ำที่คั้นได้จากสับปะรดมาชโลมผิวหน้า ทิ้งไว้พอแห้งแล้วล้างออก จะทำให้หน้าเนียนนุ่ม เนื่องจากสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวชั้นนอกสุดถูกย่อยและขจัดออกไป<br />
<br />
<b>ภาพประกอบจาก : flickr</b><br />
<b>ข้อมูลดีๆจาก : <a href="https://www.facebook.com/folkdoctorthailand/photos/pb.172425057027.-2207520000.1432019961./10153329279622028/?type=3&theater" rel="nofollow" target="_blank">มูลนิธิหมอชาวบ้าน</a></b><br />
<br />Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-4288510802922951162015-05-18T06:03:00.002-07:002015-05-18T06:03:47.389-07:0010 วิธีต้านปากเหม็น ปากมีกลิ่น ขั้นเทพ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghycdRvzpwbZH86L31CZK18WPaAiTf3xj40bflkLUrZihF8fOC-NnEsvZVG1CdM49_TTkCehC8G7Pxf-5_MBL6B5SVKuQmh3jk6rfJ8w4UJk2ZQeksufmrakoCy6SLjUGTJRCLKQfw2f4/s1600/00000000.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="233" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghycdRvzpwbZH86L31CZK18WPaAiTf3xj40bflkLUrZihF8fOC-NnEsvZVG1CdM49_TTkCehC8G7Pxf-5_MBL6B5SVKuQmh3jk6rfJ8w4UJk2ZQeksufmrakoCy6SLjUGTJRCLKQfw2f4/s400/00000000.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
เรื่องกลิ่นปาก สามารถรบกวนผู้คนได้ทุกเพศทุกวัย แม้ผู้ดูแลสุขภาพชั้นเซียนก็อาจไม่รอด ถ้ากลิ่นปาก เกิดจากอาหารที่เพิ่งกินเข้าไป คงพอครนา แต่ถ้ากลิ่นปากติดทนนานจนเรื้อรัง คงต้องหาสาเหตุเพื่อการป้องกันเสียแล้ว<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
<b><span style="color: #cc0000;">มาดู 10 วิธีต้านปากเหม็น ปากมีกลิ่น ขั้นเทพ</span></b><br />
<br />
1. ดื่มน้ำให้เยอะ เพราะน้ำจะทำหน้าที่ประหนึ่งรถไฟความเร็วสูง ช่วยพาเอาแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหากลิ่นปาก ออกจากน้ำลาย<br />
<br />
2. อย่าปล่อยให้ปากแห้ง จงจำไว้ว่าความเข้มข้นของจำนวนแบคทีเรียที่มีในปาก จะทวีคูณเพิ่มขึ้นเมื่อเราปากแห้ง และนั่นก็หมายถึงเราจะมีปากที่เหม็นหรือปากมีกลิ่นได้อย่างง่ายดาย<br />
<br />
3. พยายามแปรงฟันทุกครั้งหลังทานอาหารเสร็จ และต้องไม่พลาดจุดยุทธศาสตร์ของปัญหากลิ่นปาก คือบริเวณด้านบนของลิ้น ซึ่งเป็นที่อยู่ที่อาศัย ที่เพาะเชื้อของแบคทีเรียจำนวนมหาศาล ดังนั้นแปรงฟันแล้ว อย่าลืมแปรงลิ้นกันด้วย<br />
<br />
4. ต้องใช้ไหมขัดฟันวันละ 2-3 ครั้ง คนไทยส่วนใหญ่มักไม่ค่อยชอบใช้ไหมขัดฟัน หรือใช้ไหมขัดฟันไม่เป็น นั่นไม่ใช่ข้ออ้างแต่ประการใด ความจริงแล้วไหมขัดฟันมีความสำคัญและความจำเป็น เทียบเท่าการแปรงฟันเลย<br />
<br />
5. หลังรับประทานอาหาร หากไม่สะดวกที่จะแปรงฟันทันที อย่างน้อยที่สุดก็ควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่า<br />
<br />
6. เคี้ยวใบผักชีฝรั่ง หรือกานพลูหลังมื้ออาหารก็จะทำให้รู้สึกสดชื่นเป็นครั้งคราวได้<br />
<br />
7. ไม่รับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีกลิ่นแรงๆ อย่างเช่น กระเทียม,หอมใหญ่,พริกไทย,เนยแข็ง,กาแฟ<br />
<br />
8. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในคอร์สลดน้ำหนักก็ตาม อย่าลืมว่า มารี ฟรานซ์ บอดี้ไลน์ ไม่สามารถช่วยคุณลดปัญหากลิ่นปากได้<br />
<br />
9. หยุดเผาปอดและอวัยวะทุกจุดของคุณ ด้วยการไม่สูบบุหรี่ซะ!<br />
<br />
10. พยายามนึกถึงหน้าหมอฟันของคุณบ่อยๆ แวะเวียนเข้ามาทักทายกันหน่อย ตรวจสุขภาพช่องปากและฟันอย่างสม่ำเสมอ<br />
<br />
<b><span style="color: #cc0000;">ข้อมูลจาก ศาลาแดง ซ.1 ทันตกรรม (SDC1st Dentist)</span></b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-8983591976436597842015-05-16T08:29:00.001-07:002015-05-16T08:29:31.660-07:00มาดู 10 สัญญานในร่างกาย ที่จะบอกว่าคุณเป็นโรค<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhpisf4_doKXcg1r0uKox44kDTBz3p0rcUzn6tKYp6EtcxTqocq6mp4PrHBn8TR1Um7JzKdXpA7WIjb-edn9VtSuGzpFx6tIfPPoGnynwJV02pfNLTFOeka4ubqnRsFUJbKVooljWlGsX4/s1600/BjyN2F0CMAAuxQe.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="584" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhpisf4_doKXcg1r0uKox44kDTBz3p0rcUzn6tKYp6EtcxTqocq6mp4PrHBn8TR1Um7JzKdXpA7WIjb-edn9VtSuGzpFx6tIfPPoGnynwJV02pfNLTFOeka4ubqnRsFUJbKVooljWlGsX4/s640/BjyN2F0CMAAuxQe.jpg" width="640" /></a></div>
<br /><span style="color: #b45f06;"><b>มาดู 10 สัญญานในร่างกาย ที่จะบอกว่าคุณเป็นโรค</b></span><br /><br />ทุกวันนี้โรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากขึ้น แต่จะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถรู้ได้ก่อนว่าเราจะป๋วยเป็นอะไร วันนี้มีวิธีสังเกตุว่า ร่างกายเรานั้นจะเป็นโรคอะไร โดยดูจากอาการในตัวเรานั้นเอง<br /><br />1. ริ้วรอย ร่องลึกบนใบหน้า >> โรคกระดูกพรุน<br /><br />2. เล็บขาว เล็บเป็นร่อง เล็บสีเขียวคล้ำ >> ตับและไตผิดปกติ โรคหืด โรคถุงลมโปรงพอง<br /><br />3. เท้าบวม >> โรคหัวใจ<br /><br />4. ปากเหม็น >> หัวใจและกระดูกผิดปกติ<br /><br />5. ปื้นสีดำหลังคอ >> โรคเบาหวาน<br /><br />6. ผื่นผีเสื้อบนใบหน้า >> โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง (SLEหรือโรคพุ่มพวง)<br /><br />7. ผมร่วงมาก >> ต่อมไทรอยด์ผิดปกติ<br /><br />8. ริมฝีปากแห้ง >> โรคภูมิแพ้ และโรคโจเกรม (หนึ่งในโรคแพ้ภูมิตัวเอง/SLE)<br /><br />9. ตาเหลือง >> โรคตับ รวมถึงถุงน้ำดีผิกปกติ<br /><br />10. ไฝ่เปลี่ยนสี มีขนาดใหญ่ >> โรคมะเร็งผิวหนัง<br /><br /><b>ที่มา: facebook.com/behealthyonline, ASTV ผู้จัดการ</b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-30182789588905873302015-05-16T08:16:00.004-07:002015-05-16T08:27:33.327-07:00ข้อควรระวัง 5 ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ตับของคุณพัง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6DVJ7bEcDX0SVjwF8jcPjziSvqqvLkkL-IrYGIT1AenqNOzKUuQhl2ypkC6AnE2cOMDy3R6ICcUbUj7HcspAMaAYqpM0VH-1Vu0_5AbtN3dBGcCVS60DNBYXJ1qIiYnZaaBlslIgUnaE/s1600/11034174_815019188572250_1764133245971562662_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="402" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6DVJ7bEcDX0SVjwF8jcPjziSvqqvLkkL-IrYGIT1AenqNOzKUuQhl2ypkC6AnE2cOMDy3R6ICcUbUj7HcspAMaAYqpM0VH-1Vu0_5AbtN3dBGcCVS60DNBYXJ1qIiYnZaaBlslIgUnaE/s640/11034174_815019188572250_1764133245971562662_n.jpg" width="640" /></a><br />
<br />
ในปัจจุบันการป้องกันสุขภาพที่เรามักพบเห็นก็คือการพยายามดูแลตนเองทั้งออกกำลังกาย ทานอาหาร - วิตามินเสริม ฯลฯ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ตามน้อยคนที่จะคิดถึงอวัยวะสำคัญอย่าง "ตับ" ทั้งๆ ที่ตับเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อสุขภาพอย่างมาก<br />
<br />
<br />
เพราะตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดภายในร่างกาย รวมทั้งยังมีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เป็นต้นว่า สร้างโปรตีนและสารหลายชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น สร้างน้ำตาลกลูโคส กรดอะมิโนและโปรตีน ไขมันทั้งไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอล ทำให้วิตามินทำงานได้ดีขึ้น และเป็นแหล่งสะสมวิตามินหลายชนิด สร้างน้ำดีหรือน้ำย่อยที่จำเป็นในการย่อยอาหาร รวมทั้งทำหน้าที่ในการดูดซึมไขมันและวิตามินชนิดละลายในน้ำมัน สร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบในการทำให้เลือดแข็งตัว และฮอร์โมนบางชนิด กำจัดหรือทำลายสารพิษหรือสารแปลกปลอมที่อาจหลุดผ่านเข้าไปในกระแสเลือด มีบทบาทสำคัญต่อภูมิต้านทานของร่างกาย ควบคุมการเผาผลาญ รวมทั้งยังทำลายหรือทำให้ยาต่างๆ ออกฤทธิ์ดีขึ้น<br />
<br />
ขอบข่ายที่ตับรับผิดชอบจึงมากมายหลายส่วน ด้วยเหตุนี้ เมื่อตับผิดปกติหรือทำงานไม่ปกติ หากเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตับก็จะฟื้นฟูตัวเองได้ แต่หากต้องเผชิญปัจจัยบั่นทอนอยู่ทุกวันก็อาจทำให้เกิดอันตรายและส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ ตั้งแต่อาการไม่ปกติ ทำให้มีอาการของโรค เกิดอาการเจ็บป่วยในระยะยาว รวมทั้งทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตตามมาได้ เช่น ไขมันแทรกในตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง ไขมันสะสมในตับ และมะเร็งตับ<br />
<br />
<b>รู้แบบนี้แล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องรู้จักวิธีการสร้างสุขให้กับตับ โดยต้องระวังปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะทำให้เกิดอันตราย</b><br />
<br />
1. อาหารและน้ำดื่ม จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องได้รับอาหารและน้ำดื่มที่สะอาดเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบเอซึ่งเกิดจากการกิน เช่น อาหาร ผัดสด ผลไม้ น้ำดื่ม ที่ปนเปื้อน เชื้อนี้ ทำไม่สุก ไม่สะอาด ไม่ต้มเดือด เป็นต้น ส่วนอาหารปกติแล้วเราไม่จำเป็นต้องเลือกกินอาหารเพื่อบำรุงตับ เพียงเราทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีผลเสียต่อตับ เช่น อาหารที่ปนเปื้อนเชื้ออัลฟาท็อกซิน สารพิษที่ผลิตจากเชื้อรา โดยเราสามารถได้ในเมล็ดธัญพืช โดยเฉพาะในถั่วเมล็ดแห้ง และเมล็ดพืชน้ำมันชนิดต่างๆ พริกแห้ง ฯลฯ ที่มีเชื้อราชนิดนี้ปนเปื้อนอยู่ก่อน งดกินปลาดิบ เพื่อป้องกันพยาธิใบไม้ในตับ ส่วนใครที่มีตับอักเสบหรือตับแข็งระยะเริ่มต้น จำเป็นต้องได้รับอาหารให้ครบทุกหมู่อย่างเพียงพอเพื่อช่วยให้ตับสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว โดยในระยะนี้ เพื่อซ่อมแซมตับคุณหมออาจให้วิตามินเสริม แต่ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยาทานเองเป็นอันขาด<br />
<br />
2. เลือดและการมีเพศสัมพันธ์ อีกตัวการหนึ่งที่ทำให้เราติดเชื้อไวรัสตับอักเสบก็คือการติด การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี โดยมีคนเป็นพาหะที่สำคัญ ซึ่งประเทศไทยเราพบประมาณร้อยละ 5 โดยเฉพาะจากเลือดและการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ หรือมีดโกนร่วมกับผู้อื่น หรือการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบอยู่ อาจทำให้คุณติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี หรือ ซี ได้ เมื่อติดเชื้อแล้วอาจจะป่วยเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง มะเร็งตับได้ในที่สุด ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อนี้มีโอกาสเสี่ยงของมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไปถึง 223 เท่า<br />
<br />
3. ยา ระวังการกินยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อาจมีผลข้างเคียงต่อตับได้ อย่าลืมว่า เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่ในการกำจัดยาออกจากร่างกาย ดังนั้นการได้รับยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานานจะรบกวนการทำงานของตับหรืออาจมีผลอันไม่พึงประสงค์ต่อตับ เมื่อร่างกายได้รับยาบางชนิดในปริมาณสูง หรือติดต่อกันเป็นเวลานานตับก็จะไม่สามารถทำลายได้ทัน เหลือเป็นส่วนเกินและมีฤทธิ์ทำลายเนื้อตับ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตับจนกลายเป็นภาวะตับวายได้ ในปัจจุบัน ยาอันตรายต่อตับที่คนมักมองข้ามเป็นยาใกล้ตัวอย่าง "พาราเซตามอล" ที่อาจเกิดพิษต่อตับ ทั้งในกรณีที่กินในปริมาณมากเกินไป กินเมื่อดื่มตับเริ่มเสื่อมจากการดื่มแอลกอฮอล์ หรือตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ โดยเฉพาะในคนที่ไวต่อพาราเซตา มอล หากกินเกิน 2 กรัมขึ้นไป อาจจะทำให้ตับอักเสบได้ นอกจากนี้ ยังมียาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้แพ้ ยาแก้หวัด และยาปฏิชีวนะ ยาสมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐาน ยาลูกกลอน ฯลฯ ซึ่งมีการใช้อย่างกว้างขวางและล้วนอันตรายหากกินต่อเนื่องเป็นเวลานาน<br />
<br />
4. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สำหรับคอทองแดงหรือลำยองอาจจะไม่ค่อยกลัว แต่รู้ไว้เถอะว่า แอลกอฮอล์จะทำให้เกิดความผิดปกติของการใช้โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในตับ ในระยะแรกจะทำให้ไขมันสะสมในตับก่อนซึ่งส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการใดๆ แต่เมื่อดื่มนานเข้าจะทำให้เกิด ภาวะตับอักเสบ และเรื้อรังจนเป็นตับแข็ง และอาจทำให้เกิดมะเร็งตับ และเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะคนที่ดื่มหนักๆ หรือดื่มมานานแล้วจนเกิดตับอักเสบ ยิ่งหากใครมีโรคไวรัสตับอักเสบ บี หรือ ซี ร่วมด้วยจะยิ่งเพิ่มอันตรายต่อตับอีกหลายเท่า ทำให้มีโอกาสกลายเป็นโรคตับแข็ง หรือโรคมะเร็งตับได้ง่ายขึ้น แนวทางสำคัญในการป้องกันจึงอยู่ที่การงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มแต่ปริมาณน้อยๆ ไม่ดื่มประจำ ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างไรก็ตามหากเป็นตับอักเสบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำเป็นต้องได้รับอาหารให้ครบทุกหมู่ เพื่อให้สุขภาพฟื้นตัวได้เร็วขึ้น<br />
<br />
5. สารพิษ การได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายเป็นประจำก็ทำให้เกิดอันตรา ยต่อตับได้เช่นดียวกัน เช่น สารหนู (arsenic) ที่พบปนเปื้อนในยาหอม ปลาหมึกแห้ง ในอาหาร และสิ่งแวดล้อม หากร่างกายรับเข้าไปมากจะสะสมที่ตับและทำลายระบบการทำงานของตับ ทำให้ตับทำงานหนักและเกิดการอักเสบตามมาในที่สุด<br />
<br />
แนวทางการป้องกัน จึงต้องลดความเสี่ยงในปัจจัยที่กล่าวมา รวมทั้งหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีคาร์โบโฮเดรตสูงต่อเนื่องในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุกระตุ้นให้มีไขมันแทรกในตับ และถ้าเป็นไปได้ควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบ เพราะก่อนที่ตับจะ "พัง" มันจะไม่มีอาการใดๆ ให้เห็น แนวทางการป้องกันจึงสำคัญที่สุด<br />
<br />
<span style="color: #b45f06;"><b>กฎเหล็กดูแลตับ</b></span><br />
<br />
- ลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์<br />
- ทานอาหารที่สะอาด<br />
- มีเพศสัมพันธ์ปลอดภัย ไม่สำส่อน<br />
- ไม่ใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น<br />
- ทานยาที่ได้มาตรฐานเมื่อจำเป็น<br />
- หลีกเลี่ยงสารเคมี<br />
- ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ<br />
- ตรวจสุขภาพร่างกายทุกปี<br />
<br />
ที่มา : <b>ชีวอโรคยา</b><br />
หน้าพิเศษ Hospital Healthcare นสพ.มติชน คอลัมน์ สุขภาพทางเลือกเชิงป้องกัน โดย เจสดาร์<br />
ภาพ: ขอขอบคุณภาพจาก <a href="http://bumrungrad.com/">bumrungrad.com</a><a href="https://www.bumrungrad.com/" rel="nofollow" target="_blank">https://www.bumrungrad.com/</a>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-74049313372184787512015-05-16T08:05:00.001-07:002015-05-16T08:05:42.517-07:008 เคล็ดไม่ลับกับการเลือกทุเรียนให้กินอร่อย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgGlKNt5qmCc9QTUhzG6gWzflC1-5QbQN7HSnThHF1Lbt-fPnxZWtFuMCtU1Uc_XJZWqdzsXHrOVVg5sx1KDLDzHOFr8baUHGT4Qg-CSVqufiiaqTlbnLJQ5yk_hFT_wmgURAtoQTdx6J0/s1600/BqP_B-GCEAAs44R.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="382" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgGlKNt5qmCc9QTUhzG6gWzflC1-5QbQN7HSnThHF1Lbt-fPnxZWtFuMCtU1Uc_XJZWqdzsXHrOVVg5sx1KDLDzHOFr8baUHGT4Qg-CSVqufiiaqTlbnLJQ5yk_hFT_wmgURAtoQTdx6J0/s640/BqP_B-GCEAAs44R.jpg" width="640" /></a></div>
<br /><span style="color: #b45f06;"><b>8 เคล็ดไม่ลับกับการเลือกทุเรียนให้กินอร่อย</b></span><br /><br />ช่วงนี้เป็นเทศกาลทุเรียน สำหรับใครที่ชื่นชอบในการทานทุเรียนวันนี้มีวิธีการดูทุเรียนว่า เลือกแบบไหนจะได้ทุเรียนที่เนื้อดี สุกกำลังดี เวลาไปซื้ออจะได้ไม่เจอแม่ค้าหลอกเอาทุกเรียนอ่อนๆ มาให้เราทาน พร้อมแล้วมาดูกันเลยว่า 8 เคล็ดลับการเลือกทุกเรียนต้องทำอย่างไรกันบ้าง<br /><br /><br />1. ขั้วทุเรียนยาว ไม่ติดกับปลิง (ถ้าติดกับปลิงหรือสั้นๆอาจจะเป็นทุเรียนที่อ่อนทายาเร่งสุก เป็นอัตรายต่อสุขภาพ)<br /><br />2. ชั้วผลสากเป็นเม็ดทรายเหนี่ยวแล้วแข็งเป็นสปริง<br /><br />3. ปลิงบวมพองเห็นรอยต่อชัดเจน<br /><br />4. ดมกลิ่นแล้วหอมไม่เหม็นเขียว<br /><br />5. สีเปลือกเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นสีเขียวปนน้ำตาล<br /><br />6. ปลายหนามแห้งเป็นสีน้ำตาลเข้ม บีบเข้าหากันแลล้วจะแข็งเป็นสปริง<br /><br />7. ดีดหรือใช้ไม้เคาะเบาๆ ที่พูทุเรียนแก่(ดี) จะมีเสียงโปร่งๆกลวงๆ แต่ทุเรียนอ่อน(ไม่ดี)จะเสียงตันๆทึบๆ<br /><br />8. ร่องพู(แนวตรงกลางพู)จะเป็นรอยแยกสำน้ำตาลชัดเจน<br /><br /><br /><span style="color: #b45f06;"><b>รู้จักวิธีเลือกทุเรียนกันแล้วมาดูกันว่ากินทุเรียนยังไงไม่ให้ร้อนใน</b></span><br /><br />- ดื่มน้ำเปล่ามากๆ บางคนชงน้ำเกลือเจือจางดื่มสักแก้วก็ดีขึ้นได้เช่นกัน <br />
<br />- รับประทานผักสดต่างๆ ให้มากขึ้น <br />
<br />- รับประทานผลไม้ที่มีน้ำเยอะ ประเภทแตงโม แตงล้าน หรือผลไม้รสเปรี้ยวหรือหวานอมเปรี้ยว เช่น ส้ม สับปะรด มะนาวให้มากขึ้น หลายคนนิยมรับประทานมังคุดที่มีฤทธิ์เย็นตามหลังการรับประทานทุเรียน <br />
<br />- ดื่มเครื่องดื่มสมุนไพรต่างๆ ที่มีฤทธิ์ช่วยแก้ร้อนใน เช่น น้ำเก๊กฮวย น้ำหล่อฮั่งก๊วย น้ำรากบัว น้ำมะนาว น้ำใบบัวบก น้ำใบเตย เฉาก๊วย <br /><br /><b>เครดิตตามภาพ</b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-51215688128439968062015-05-15T01:53:00.001-07:002015-05-15T01:53:28.482-07:00ใครที่มีปัญหา สิวอุดตัน สิวอักเสบ หายได้ง่ายๆแค่ทำตามสูตรนี้<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPnALwSyg2-BqqHO8YaCV67yhAg1cnEPTrCboi-BdyQ0JrqiRIELKohI7neKNPZPIW621ZMDfeHj2tnMzfDFuXGyfSdfpP_BZlnUW4llzT_DXhQOlMCCMyoS3JCX0p4HTI2gA0t30J8Yw/s1600/thumb_687912_256x148.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="207" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPnALwSyg2-BqqHO8YaCV67yhAg1cnEPTrCboi-BdyQ0JrqiRIELKohI7neKNPZPIW621ZMDfeHj2tnMzfDFuXGyfSdfpP_BZlnUW4llzT_DXhQOlMCCMyoS3JCX0p4HTI2gA0t30J8Yw/s400/thumb_687912_256x148.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>ใครที่มีปัญหา สิวอุดตัน สิวอักเสบ หายได้ง่ายๆแค่ทำตามสูตรนี้</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
สิวอุดตัน(Non-inflammatory ance หรือ Comedone ) เป็นประเภทของสิวที่พบได้บ่อย มากกว่า 70 %ของปัญหาสิว ซึ่งพบได้ทุกกลุ่มอายุ ทุกเพศ แต่ส่วนใหญ่จะพบในวัยรุ่น และวัยหนุ่มสาว เกิดได้บ่อยบริเวณใบหน้า ลำคอ และลำตัว(โดยเฉพาะที่หลัง) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีต่อมไขมัน Sebaceous gland จำนวนมาก</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiOGFlYSUUek3gGTe0eQ-92TqYDlxay2GOdcHnzGPknWhGMMVzA0mQpQDCjQKNSzm1WhH4DbrnAEuobKpc_YHZjRBICquLiPpHupqjMzJhJJaLGWiQs-Uyml4VrCPtFBAQ5fen5W-0akbg/s1600/001.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="335" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiOGFlYSUUek3gGTe0eQ-92TqYDlxay2GOdcHnzGPknWhGMMVzA0mQpQDCjQKNSzm1WhH4DbrnAEuobKpc_YHZjRBICquLiPpHupqjMzJhJJaLGWiQs-Uyml4VrCPtFBAQ5fen5W-0akbg/s400/001.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
บทความนี้เอาใจคนที่ไม่ชอบอ่านบทความยาวๆ และไม่ชอบหาข้อมูลไปหลายๆเว็บไซต์ อยากได้อะไรที่มันกะทัดรัดเป็นขั้นเป็นตอน ทำตามได้ง่ายๆ<br />
<br />
แอดมินจึงได้เตรียมวิธีในการรักษา<b>สิวอุดตัน</b>แบบที่สามารถนำไปทำตามได้เลย ไม่ต้องไปคิดอะไรต่อมากมายเริ่มจากต้องเตรียมหาซื้อสิ่งที่จะนำใช้ในการรักษากันสิวเสียก่อน ได้แก่ <b>Benzac ac 2.5% </b><br />
แค่นี้แหละมีเพียงตัวเดียวง่ายมาก ซึ่งจะช่วยรักษาได้ทั้งสิวอุดตัน และ<b>สิวอักเสบ</b>ให้หายไปพร้อมๆกันทั้งคู่ หากใครรักษาด้วยวิธีนี้ไม่หายค่อยไปหาวิธีอื่นที่เหมาะสมกับตัวเองต่อไป แล้วทำตามขั้นตอนนี้เลย<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWS-DhJXF_8iaIJ6DSNugDXN1x9ZLjbwvoXss3PNbuvJBUOrVIUAPFro9fAHDOTYJIEejvqXhl1byrvZhyHefFfu4eUgNBN6v4liIlo_w4VHYO_DkrkzduTwAxVl4xAzpTvjltrShf_wE/s1600/002.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="310" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWS-DhJXF_8iaIJ6DSNugDXN1x9ZLjbwvoXss3PNbuvJBUOrVIUAPFro9fAHDOTYJIEejvqXhl1byrvZhyHefFfu4eUgNBN6v4liIlo_w4VHYO_DkrkzduTwAxVl4xAzpTvjltrShf_wE/s400/002.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
<b>ขั้นตอนในการรักษาสิวอุดตัน</b><br />
<br />
1.ล้างหน้าให้สะอาด ล้างเครื่องสำอางออกให้หมด<br />
<br />
2.ทายาแต้มสิวที่ช่วยในการฆ่า และยับยั้งแบคทีเรียนี้เข้าไปบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก<br />
<br />
3.ล้างหน้าอีกครั้ง และซับหน้าเบาๆด้วยผ้าขนหนู จากนั้นทาครีมบำรุงผิวโดยที่ต้องเลือกที่ไม่มีส่วนผสมที่เป็นน้ำมัน เลือกให้เหมาะกับตัวเอง เพราะเดี๋ยวหน้าจะแห้งเกินไปจากการใช้ยาแต้มสิว ป้องกันไม่ให้ผิวหน้าลอกเป็นขุย<br />
<br />
ปล.แอดมินไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับยาตัวนี้ เพียงแค่ส่วนตัวแล้วลองใช้วิธีนี้ในการรักษาสิวอุดตันแล้วมันได้ผล จึงนำมาบอกเล่าสำหรับเพื่อนๆที่ต้องการวิธีรักษาสิวที่กระชับ ทำตามได้ง่ายๆ<br />
<br />
<br />
<br />
<b>แถมให้กับสาเหตุการเกิดสิวอุดตันจะได้ป้องกันได้ถูก</b><br />
<br />
1. ต่อมไขมัน Sebaceous สร้างไขมันมากเกินไป โดยอาจเกิดจากสาเหตุ ฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจน ชนิด Testosterone ซึ่งควบคุมการเจริญเติบโตและการสร้างไขมัน( Sebum) สูงมากกว่าปกติ แล้วไขมันเกิดจากอุดตันในท่อไขมันที่ระบายไขมัน ออกสู่ผิวหนังด้านนอก อันนำมาซึ่งปัญหาสิวอุดตัน<br />
2. ปัญหาผิวแพ้ง่าย( Sensitive skin) มักพบเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้บ่อยเช่นกัน<br />
3. ความผิดปกติของการลอกผิวในท่อขุมขนเอง( follicular lumen) แล้วทำให้เกิดการอุดตัน<br />
4. สิวจากเครื่องสำอาง( Acne cosmetica) มักเกิดจากการใช้เครื่องสำอางบางชนิด แล้วเกิดอาการแพ้<br />
5. สิวจากสเตียรอยด์ มักเกิดในผู้ที่ใช้ครีมทาที่ผสมสเตียรอยด์ ในการรักษาผิวแพ้ หรือรับประทานยา Prednislone เป็นประจำ เช่นผู้ป่วยโรคไต Nephrotic syndrome หรือ SLE<br />
6. ความเครียด<br />
7. ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เช่น ในภาวะใกล้หรือหมดประจำเดือน<br />
<br /><b>ข้อมูลจาก <a href="http://howtohealths.com/views458.html" rel="nofollow" target="_blank">howtohealths</a></b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-10180252615223434962015-05-14T23:49:00.001-07:002015-05-14T23:49:26.720-07:00แบ่งปันสูตรการรักษาฝัากระด้วยวิธีธรรมชาติ ทำง่ายๆได้เอง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTd3kN4fyK-xygoprBwNb3xJWZfkZ6YiDlH43l-fP6s9FjtY0GyeluRUlsoYnLgzOxMHJmJvZzJ-LXBbZ8FPDJjIms0pSDvLXo0FzhC_PLwoAD5lWPUXuwnUu8DtyXDCqHFTWgapygFiQ/s1600/00000000.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="313" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTd3kN4fyK-xygoprBwNb3xJWZfkZ6YiDlH43l-fP6s9FjtY0GyeluRUlsoYnLgzOxMHJmJvZzJ-LXBbZ8FPDJjIms0pSDvLXo0FzhC_PLwoAD5lWPUXuwnUu8DtyXDCqHFTWgapygFiQ/s640/00000000.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<br />
<br />
<b>ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อนว่า กระ คืออะไร</b><br />
<br />
กระ หรือที่เรียกว่า freckle<br />
<br />
ลักษณะก็เป็นตามรูปค่ะจุดสีน้ำตาลผิวเรียบขอบชัดกระจายอยู่ตามผิวบริเวณที่โดยแดดได้ทั้งหน้าแขนและตัว อันนี้มีสาเหตุจากกรรมพันธ์เป็นหลักค่ะพบมากในฝรั่งที่ผิวขาวผมแดง ชาวไทยเชื้อสายจีนพบได้บ้างแต่ไม่มากนัก กระนี้จะเริ่มเห็นตอนเข้าวันประถมต้น เห็นชัดขึ้นเข้มขึ้นเมื่อตากแดด พอโตขึ้นเรื่อยๆจำนวนกระก็ลดลงบางคนหายไปได้เองเลยค่ะ เนื่องจากพบไม่บ่อยนักในคนไทยและหายได้เองจึงไม่ค่อยมีใครมาพบหมอด้วยปัญหานี้สักเท่าไหร่นัก แต่ถ้าหากต้องการรักษาก็ทำได้นะคะ ยาทาพวก whitening ทำให้กระจางได้บ้าง<br />
<br />
<br />
<b>สูตรลดรอยกระบนใบหน้าสูตร 1 สูตรนี้ทำทุกวัน รอยกระบนใบหน้าจะดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด </b><br />
<br />
<b>ส่วนผสม </b><br />
น้ำมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ<br />
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ<br />
<br />
<b>ขั้นตอนการทำและวิธีใช้ </b><br />
<br />
1. นำน้ำมะเขือเทศ และน้ำมะนาวมาผสมให้เข้ากันเป็นอย่างดี<br />
2. ล้างหน้าให้สะอาดและซับหน้าให้แห้ง<br />
3. นำสูตรที่ผสมเตรียมไว้ มาทาตรงบริเวณที่เป็นกระทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที<br />
4. จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ<br />
<br />
(น้ำมะนาวเป็นกรด การใช้กับใบหน้า ควรทดลองทำเพียงจุดเล็กๆ ก่อน ป้องกันผิวหน้าบางท่านแพ้ หากใช้แล้วไม่เกิดอาการแพ้ค่อยทำเพิ่มจุดอื่นๆ ต่อไป)<br />
<br />
<b>สูตรลดรอยกระบนใบหน้าสูตร 2 สูตรนี้ทำทุกวัน รอยกระบนใบหน้าจะดูจางลง </b><br />
<br />
<b>ส่วนผสม </b><br />
เบบี้ออยล์ 2 ช้อนชา<br />
น้ำมะนาว 2 ช้อนชา<br />
<br />
<b>ขั้นตอนการทำและวิธีใช้ </b><br />
<br />
1. นำเบบี้ออยล์ และน้ำมะนาวผสมคนให้เข้ากัน<br />
2. ล้างหน้าให้สะอาด และซับหน้าให้แห้ง<br />
3. เมื่อได้ส่วนผสมแล้ว ให้ทาทั่วบริเวณใบหน้า แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที<br />
4. หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดเป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ<br />
<br />
<b>หลังจากรู้วิธีรักษาแล้ว เรามารู้ว่ากระมีมีแบบและมีแบบไหนบ้าง </b><br />
<br />
1. กระตื้น จุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ ขนาดไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร สามารถขึ้นได้ทั่วใบหน้า ถ้าโดนแดดบ่อย ๆ จะมีสีเข้มขึ้นชัดเจน แต่ถ้าไม่ได้โดนแดดบ่อย สีก็จะจางลงได้เอง<br />
2. กระลึก จุดสีน้ำตาลเทา ๆ เห็นเป็นเงาลึก ๆ มักพบบริเวณโหนกแก้ม 2 ข้าง<br />
3. กระเนื้อ ตุ่มสีน้ำตาล หรือสีดำ สามารถเป็นได้ทั้งก้อนเล็ก ๆ ผิวเรียบ หรือขรุขระ อาจดูคล้ายหูด มักพบบริเวณใบหน้า คอ หรือลำตัว กระชนิดนี้ รักษาด้วยยาไม่หาย นอกจากยิงเลเซอร์<br />
4. กระแดด ขึ้นเป็นดวงสีน้ำตาล ผิวเรียบ ส่วนใหญ่พบในคนสูงอายุ หรือคนที่ทำงานกลางแจ้ง และเป็นกระประเภทเดียวที่สามารถบรรเทาให้จางลงจนมองไม่เห็นได้<br />
<br />
<b>ข้อมูลจาก <a href="https://www.facebook.com/730794570309646/photos/a.730825203639916.1073741827.730794570309646/828384613883974/?type=1&theater" rel="nofollow" target="_blank">การทำอาหาร และยาสมุนไพร เพื่อสุขภาพที่ดี</a></b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-3873717648880553252015-05-13T08:46:00.000-07:002015-05-13T08:46:00.658-07:00แค่หายใจก็ลดหน้าท้องได้ จริงเหรอ?<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEizMmks9I_0MczHqQiBD9eKEr7Rgua_fR76S4Ivw0KuveaVxUqSD6fN0wDYHeYjMxkJMtg7YdQ2-3Il7dF-xr5ml76P6V3h5OXRcHozhGBeP4vxCil_vt-miJTnpTGuqxHHfI-iLHxwDMM/s1600/1429836239348.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="342" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEizMmks9I_0MczHqQiBD9eKEr7Rgua_fR76S4Ivw0KuveaVxUqSD6fN0wDYHeYjMxkJMtg7YdQ2-3Il7dF-xr5ml76P6V3h5OXRcHozhGBeP4vxCil_vt-miJTnpTGuqxHHfI-iLHxwDMM/s640/1429836239348.jpg" width="640" /></a></div>
<br /><b>แค่หายใจก็ลดหน้าท้องได้ จริงเหรอ?</b><br /><br />สมัยตอนเด็กๆ เราไม่มีพุง แต่พอถึงช่วงทำงานแล้วพุงมาจากไหน ทั้งที่กินอาหารเท่าเดิม เหมือนเดิมทุกๆวัน<br />
<a name='more'></a><br />คำถามแรกลองถามตัวเองก่อนว่าการที่มีหน้าท้องนั้น เราได้เคยออกกำลังกายหน้าท้องบ้างรึเปล่า?<br /><br />คำถามที่สอง เคยออกกำลังกายแบบเหนื่อยจัดๆ อย่างน้อย 3 – 5 วัน ต่อสัปดาห์หรือไม่ หรือเคยออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมงขึ้นไปรึเปล่า?<br /><br /><span style="color: #e69138;"><b>ทั้งสองคำถามนี้ คุณเคยได้ทำบ้างมั้ย?</b></span><br /><br />แต่ถ้าคุณไม่เคยทำเลยทั้งสองข้อ ก็ไม่ต้องสงสัยว่าจะมีพุงยื่นจะติดตัวมาอย่างแน่นอน วันนี้เรามีวิธีการออกกำลังแบบง่ายๆ ให้ไปลองฝึกดูกัน สามารถฝึกได้ทุกที่เวลา เค้าเรียกว่า ท่า Stomach Vacuum<br /><br />ท่า Stomach Vacuum เป็นวิธีการออกกำลังกายที่ดีที่สุดในการช่วยลดพุงยื่น เริ่มแรกเราต้องมาทำความรู้จักกับกล้ามเนื้อที่เราจะออกกำลังกายกันก่อน คือ<br /><br />กล้ามเนื้อ Transverse Abdominis คือกล้ามเนื้อที่เรียงตัวพาดไปตามแนวขวาง กล้ามเนื้อนี้จะอยู่ข้างใต้ กล้ามเนื้อ Rectus Abdominis (ช่องท้องหรือที่เรียกว่า “Six Pack” กล้ามเนื้อ) นั้นเอง<br /><br />กล้ามเนื้อ Transverse Abdominis มีหน้าที่พยุงอวัยวะภายในช่องท้องเอาไว้นะครับ ถ้ากล้ามเนื้อนี้ไม่แข็งแรงพอที่จะรัดช่วงท้องของคุณเอาไว้ได้แล้ว หน้าท้องของคุณก็จะเหมือนกับว่าอวัยวะภายในจะดันออกมาภายนอกนั้นเอง<br /><br /><br /><b>วิธีฝึกหน้าท้องแนวขวางนี้ คือ Stomach Vacuum โดยการสูดลมหายใจเข้ามาในช่องท้อง เป็นการเกร็งกล้ามเนื้อ Transverse Abdominis เข้ามา</b><br /><br /> <span style="color: #e69138;"><b> วิธีลดหน้าท้องคือ</b></span><br /><br /> 1. นั่งหรือยืนก็ได้ มือวางที่หน้าขา<br /><br /> 2. ยืดตัวตรงหายใจออกปกติ<br /><br /> 3. หายใจเข้าทางจมูกลึกๆ แล้วหายใจออกทางปาก เกร็งให้หน้าท้องหดเข้ามา<br /><br /> 4. หายใจเข้าอีกครั้งเกร็งหน้าท้องอยู่ที่เดิม แล้วหายใจออกทางปาก เกร็งให้หน้าท้องหดลงเข้าไปอีก<br /><br /> 5. หายใจเข้าอีกครั้งให้เกร็งหน้าท้องอยู่ที่เดิม แล้วหายใจออกทางปาก เกร็งหน้าท้องให้หดเข้ามามากกว่าเดิม ทำซ้ำอีกหลายรอบ แต่ละรอบก็พยายามให้ท้องหดเข้ามาเกร็งเข้ามาๆ และยืดอกขึ้นตลอดเกร็งหน้าท้องให้หดเข้ามาให้มากที่สุด เหมือนการทำให้สะดือของคุณดันเข้ามาติดกับกระดูกสันหลังของคุณ แล้วหดเกร็งหน้าท้องให้สุดๆ<br /><br /> 6. พอสุดแล้วให้ค้างไว้ ประมาณ 30 วินาที หรือ หนึ่งนาที เวลาเกรงค้างไว้ให้หน้าท้องบีบตัวเกร็งกันมากๆ เราเรียกว่า 1 ครั้ง ทำซ้ำ 5 ครั้ง และทำได้ตลอดทั้งวัน (เวลาที่หน้าท้องหดเกร็งสุดๆ แล้วเวลาค้างไว้ห้ามกลั้นหายใจ ให้หดเกร็งสุดๆ แล้วพยายามหายใจเข้าและออกด้วย)<br /><br /><b>ถ้าฝึกแบบนนี้เป็นประจำก็จะทำให้กล้ามเนื้อ Transverse Abdominis รัดหน้าท้องของเราเข้าไป และอย่าลืมว่าต้องออกกำลังกายแบบเหนื่อยจัดๆ ครึ่งชั่วโมงขึ้นไป ควบคู่ไปด้วย</b><br /><br /><b>ที่มา….women.thaiza.com</b><br />Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-80513109699173016842015-05-13T08:41:00.002-07:002015-05-13T08:41:41.413-07:00ใครมีปัญหาขอบตาดำคล้ำ มาดู 5 วิธีแก้ไขกันค่ะ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKW_flGEy7nKEdaNqF9lEllmTuuXRapuThEK8VGUunCITb4Jio2fym3bP0R75GynWrgNlcFZEzdPCxcKOMc1qvO8yZd5iL6oB56KaYK1ftWwvL7j50QjHwRf5qemKAGfGxzBR8iX9d9l8/s1600/_.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="426" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKW_flGEy7nKEdaNqF9lEllmTuuXRapuThEK8VGUunCITb4Jio2fym3bP0R75GynWrgNlcFZEzdPCxcKOMc1qvO8yZd5iL6oB56KaYK1ftWwvL7j50QjHwRf5qemKAGfGxzBR8iX9d9l8/s640/_.jpg" width="640" /><br /></a></div>
<b>ใครมีปัญหาขอบตาดำคล้ำ มาดู 5 วิธีแก้ไขกันค่ะ</b><br /><br />สำหรับใครที่มีปัญหาขอบตาดำคล้ำไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นนอนดึกหรือเกิดจากปัญหาอื่นๆ วันนี้เรามีวิธีที่จะช่วยให้ตาคุณกลับมาสวยอีกด้วยวิธีง่ายๆมาดูกันเลย<br />
<a name='more'></a><br /><br /><br /><b>แนะนำ 5 วิธีแก้ปัญหาขอบตาดำคล้ำ </b><br /><br /><br /><span style="color: #b45f06;"><b>1. ช้อนแช่เย็น</b></span> นี่คือเคล็ดลับจากคนก้นครัวเลยนะจ๊ะ บ่อยครั้งที่สิ่งของใกล้ตัว หรือแม้แต่ในครัวของเรานั้น จะมาช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องความสวยความงามของ เราได้อย่างไม่คาดคิดมาก่อน เพราะวิธีทำก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่คุณนำช้อนไปแช่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นที่บ้านก่อนจะเข้านอนในตอนกลางคืน หลังจากนั้นตื่นขึ้น มาตอนเช้าก็นำเอาช้อนที่แช่แข็งไว้ออกมาวางทาบลงบริเวณรอบๆดวงตาที่บวมคล้ำ จากนั้นก็รอจนกว่าช้อนจะอุ่นหรือหายเย็น แล้วก็เปลี่ยนคันใหม่ ทำต่อไปสักพักจน รู้สึกว่าตาหายบวมก็พอแล้วค่ะ <br /><br /><br /><span style="color: #b45f06;"><b>2. ถุงชาใช้แล้ว</b></span> ขอบอกเลยว่านี่คือวิธีที่ได้รับความนิยมมากๆเลยนะ หลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อนว่าถุงชาที่เหลือจากการชงชานั้น แท้จริงแล้วมีประโยชน์มากๆ เลยล่ะ โดยเฉพาะสาวๆที่กำลังประสบปัญหาตาเป็นหมีแพนด้านั้น หากลองนำเอาถุงชาที่กำลังอุ่นๆ (ไม่ต้องร้อนนะ!) มาประคบลงรอบๆดวงตาที่กำลังบวม สารแทนนิ นที่พบในชาจะช่วยลดอาการบวมได้ดีนักแลจ้า! <br /><br /><br /><span style="color: #b45f06;"><b>3. แตงกวาหั่นบางๆ</b></span> นี่อาจเป็นวิธีแรกๆที่สาวๆนึกถึง แต่เชื่อได้เลยว่ามันช่างได้ผลสุดๆเลยล่ะ เพียงแค่คุณนำเอาแตงกวาสดนำมาล้างให้สะอาด จากนั้นก็หามีดมาหั่น ให้เป็นแผ่นบางๆ จากนั้นก็นำมาวางบริเวณรอบดวงตา แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แนะนำว่าควรทำก่อนนอนทุกคืน เพียงเท่านี้รอยหมองคล้ำใต้ตาก็จะหายไปในบัดดลเลยค่ะ <br /><br /><br /><span style="color: #b45f06;"><b>4. มะเขือเทศ </b></span>นี่คือเคล็ดลับที่เราอยากบอกคุณมากๆเลยค่ะ สำหรับคนที่มีปัญหารอยหมองคล้ำใต้ตา ขอบอกเลยว่ามะเขือเทศช่วยแก้ไขปัญหาให้คุณได้ค่ะ เนื่องจาก เนื่องจากว่ามะเขือเทศนั้นเป็นผักที่มีวิตามิน A และ C สูงมากๆ อีกทั้งยังมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงดวงตาและผิวหนังใต้ดวงตาโดยที่ไม่ทำให้เกิดการระคาย แถมยังช่วยประชับถุงใต้ตาที่หย่อนคล้อยให้กับมาเต่งตึงเหมือนเดิมอีกด้วย <br /><br /><br /><span style="color: #b45f06;"><b>5. น้ำแข็งประคบ</b></span> ขอบอกว่าวิธีนี้ต้นทุนต่ำมากๆเลยค่ะ เพียงแค่คุณนำเอาผ้าขาวบางสะอาดๆมาห่อน้ำแข็ง แล้วก็ทุบน้ำแข็งให้แตกๆแต่อย่าให้มันเละมาก จากนั้นก็นำ เอาถุงผ้าห่อน้ำแข็งมาประคบบริเวณรอบๆดวงตา แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 - 15 นาที ความเย็นจากน้ำแข็งจะช่วยลดความเมื่อยล้า รอยหมองคล้ำ รวมไปถึงถุงน้ำใต้ตาของคุณได้อย่างง่ายดาย <br /><br /><br /><b>ข้อมูลดีๆจาก bedtaledidea</b><br />Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-16296425063813355382015-05-13T08:34:00.002-07:002015-05-13T08:34:32.462-07:007 เคล็ดลับเร่งผมยาวเร็วทันใจ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjUpD13n8DFSq_JvfcmjCuokjBMVawrkQP__2kAZbrAFwxJcT2Yq0XYzbPBBSWMXgBQon8MROZqNpVaCwneg4oHOs3HjDGVOHUkwFHhmGFR4IQg8TNxYuw020LaaDZSo6YbThCcMCMOraU/s1600/0.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="334" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjUpD13n8DFSq_JvfcmjCuokjBMVawrkQP__2kAZbrAFwxJcT2Yq0XYzbPBBSWMXgBQon8MROZqNpVaCwneg4oHOs3HjDGVOHUkwFHhmGFR4IQg8TNxYuw020LaaDZSo6YbThCcMCMOraU/s640/0.jpg" width="640" /></a></div>
<br />สำหรับสาวๆแล้วเรื่องผมนั้นค่อนข้างสำคัญมากๆ วันนี้เลยมีวิธีที่จะช่วยให้ผมของคุณยาวขึ้นได้ด้วยวิธีธรรมชาติ มาดูกันว่า 7 เคล็ดลับที่ว่าจะมีอะไรบ้าง<br />
<a name='more'></a><br /><br /><span style="color: #b45f06;"><b>1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดีต่อเส้นผม </b></span>การเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามิน A, B, C และ E, เหล็ก, สังกะสี, ทองแดง, แมกนีเซียม และซีลีเนียม ซึ่งพบมากในอาหารและผักผลไม้จำพวก นม ชีส โยเกิร์ต ไก่ ไข่ ธัญพืช ปลาแซลมอน ผักขม พริก กะหล่ำปลี ผักชีฝรั่ง ส้มโอ อะโวคาโด ขนมปังสีน้ำตาล และข้าวโอ๊ต จะช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นผมใหม่ ทำให้เส้นผมมีสุขภาพดี และช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้นอีกด้วยค่ะ <br /><br /><br /><span style="color: #b45f06;"><b>2. น้ำมันละหุ่ง หรือ น้ำมันมะกอก</b></span> การเร่งผมให้ยาวด้วยน้ำมันละหุ่งนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากน้ำมันละหุ่งอุดมไปด้วยวิตามินอี โอเมก้า 9 และกรดไขมันที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม <br /><br />สำหรับวิธีเร่งผมยาวด้วยน้ำมันละหุ่งนั้น สามารถทำได้ง่ายๆเพียงแค่นำน้ำมันละหุ่งไปผสมกับไข่แดง แล้วตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อได้แล้วก็นำไปชโลมบนเส้นผมให้ทั่ว จากนั้นนวดที่หนังศีรษะเบาๆประมาณ 3 นาที แล้วนำเอาผ้าขนหนูผืนขนาดกลางพันทิ้งไว้ประมาณ 30-45 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น จากนั้นเช็ดผมให้แห้ง สูตรนี้แนะนำให้ทำสัปดาห์ๆละ 2 ครั้ง ต่อเนื่องประมาณ 2 เดือน แล้วคุณจะพบว่าผมยาวและดกดำสวยงามขึ้น <br /><br /><br /><br /><span style="color: #b45f06;"><b>3. การนวดหนังศีรษะ </b></span>คืออีกหนึ่งวิธีเร่งผมยาวที่ต้องทำควบคู่กันไปกับการหมักผมด้วยน้ำมันละหุ่ง หรือ น้ำมันมะกอก เพื่อเป็นกากระตุ้นการทำงานของเส้นผม รวมไปถึงการช่วยกระตุ้นเลือดให้ไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ เร่งให้ผมยาวเร็วและแข็งแรงอีกด้วย วิธีทำก็ง่ายมากๆเพียงแค่คุณนวดเส้นผมและ<br />หนังศีรษะวันละประมาณ 5 นาที ก็จะช่วยเร่งผมให้ยาวเร็วขึ้นค่ะ <br /><br /><br /><span style="color: #b45f06;"><b>4. การออกกำลังกายให้เส้นผม</b></span> เพียงแค่คุณแปรงผมเบาๆ โดยให้ขนแปรงได้สัมผัสกับหนังศีรษะ ก็จะเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเส้นเลือดที่หนังศีรษะ ได้ดีเช่นกัน จากนั้นก้มศีรษะให้เลือดไปเลี้ยงที่ศีรษะค้างไว้สัก 2-4 นาที แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา แนะนำว่าการทำเช่นนี้ทุกวันจะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้นค่ะ <br /><br /><span style="color: #b45f06;"><b>5. ไม่เครียด </b></span>ทราบหรือไม่ว่าอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผมของคุณยาวช้าก็คือความเครียดนี่แหละ! เนื่องจากความเครียดจะไปยับยั้งหรือรบกวนระบบการ ทำงานต่างๆในร่างกายไปถึงระบบการเจริญเติบโตของเส้นผม ลองสังเกตุดูนะคะว่าช่วงไหนที่เครียดมากๆเส้นผมของคุณจะยาวช้ามากจริงๆ!! <br /><br /><span style="color: #b45f06;"><b>6. เล็มปลายผมบ้าง </b></span>บางครั้งการเล็มปลายผมเพียงเล็กน้อยประมาณ 2 เดือนครั้ง วิธีนี้ก็จะช่วยกระตุ้นให้ผมยาวเร็วขึ้น และยังเป็นการกำจัดผมที่เสียและ แตกปลายออกไปด้วยเช่นกันค่ะ <br /><br /><span style="color: #b45f06;"><b>7. ใช้ยาสระผมและเซรั่มสูตรเร่งผมยาว</b></span> วิธีนี้ค่อนข้างสะดวกสบายมากๆค่ะ เนื่องจากในปัจจุบันมีให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อให้เลือกใช้ หากทำควบคู่กับวิธีที่กล่าวมาข้างต้นรับรองว่าผมของคุณจะยาวแบบเห็นผลทันใจภายในไม่กี่สัปดาห์เลยค่ะ <br /><br /><b>ข้อมูลดีๆจาก bedtaledidea</b><br />Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-12858351690202466362014-08-22T04:27:00.001-07:002014-08-22T04:27:19.682-07:00สาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง และการรักษา<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicRkg8P_N1G3WMhtR6sjYXw45GA-K-2ZhGvNkCX-y3vFYrAIIUVQY4CQVYQxpd0IfB2YhGYADxkhIRuq30Zw6Hopiszwg6QbRbfdfPt5Z3Mg_DlvwUYRna8Ash-POSrjgKN0YVTsBLjfk/s1600/im.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img alt="สาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง และการรักษา" border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicRkg8P_N1G3WMhtR6sjYXw45GA-K-2ZhGvNkCX-y3vFYrAIIUVQY4CQVYQxpd0IfB2YhGYADxkhIRuq30Zw6Hopiszwg6QbRbfdfPt5Z3Mg_DlvwUYRna8Ash-POSrjgKN0YVTsBLjfk/s1600/im.jpg" height="508" title="สาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง และการรักษา" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><u>สาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง และการรักษา</u></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">สาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง และการรักษา</span></b><br />
<br />
<b>โรคถุงลมโป่งพอง</b> หมายถึง ภาวะที่ถุงลมเสียความยืดหยุ่นและเปราะง่ายอาจมีการแตกทะลุทำให้ถุงลมสูญเสียหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนอากาศทำให้ลมที่จะเข้าปอดน้อยกว่าปกติรวมทั้งการแลกเปลี่ยน
ออกซิเจนก็ลดน้อยลงด้วยซึ่งโดยปกติก๊าซออกซิเจนในถุงลมจะซึมผ่านผนังถุงลม และหลอดเลือดเข้าไปในกระแสเลือด ในขณะที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระแสเลือดก็จะซึมกลับออกมาในถุงลม
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">สาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง</span></b><br />
<br />
สาเหตุของ<b>ถุงลมโป่งพอง</b> ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ การสูบบุหรี่ นอกจากนั้นยังอาจเกิดจาก การสูดดมสิ่งที่เป็นพิษ เช่น มลภาวะ ไอเสีย ฝุ่น สารเคมี เป็นระยะเวลานาน ๆ
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">อาการโรคถุงลมโป่งพอง</span></b><br />
<br />
ในผู้ป่วยที่เป็น<b>โรคถุงลมโป่งพอง</b> ถุงลมและหลอดลมจะเสียความยืดหยุ่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในระยะเริ่มแรกมักจะไม่มีอาการ แต่ต่อมาเมื่อเป็นมากขึ้น อาการก็จะแสดงชัดขึ้นตามลำดับ โดยอาการสำคัญที่พบบ่อยๆ ได้แก่ หายใจลำบาก หอบ เหนื่อย และหายใจมีเสียงวี๊ด
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">การวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพอง</span></b><br />
<br />
โดยการตรวจสมรรถภาพทางปอด เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสมรรถภาพปอดมีหลายชนิด ได้แก่
<br />
<br />
·เครื่อง Spirometer เป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นการตรวจวัดปริมาตรของ อากาศที่หายใจเข้าและออกจากปอด ทำได้ค่อนข้างง่ายแต่ต้องอาศัยความร่วมมือของ ผู้ที่มาตรวจเนื่องจากต้องมีขั้นตอนการสูดลมและการออกแรงเป่าอย่างเต็มที่ทางปาก
<br />
<br />
·การวิเคราะห์ก๊าซในเลือดแดง เนื่องจากระดับก๊าซในเลือดแดงจะช่วยบอกถึงความผิดปกติในการแลกเปลี่ยนก๊าซเกี่ยวกับการรับออกซิเจนและการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">การรักษาโรคถุงลมโป่งพอง</span></b><br />
<br />
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาใด ที่สามารถทำให้<b>โรคถุงลมโป่งพอง</b>หายได้ แต่การใช้ยาจะช่วยให้ ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และปอดถูกทำลายช้าลง
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ข้อมูลจากโรงพยาบาลธนบุรี</span></b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-71741040932042303492014-08-22T04:18:00.001-07:002014-08-22T04:18:06.621-07:00การปฏิบัติตัวหลังฉีดวัคซีนในเด็ก<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7tGfhe0XtPYEEeSuJ5iq7r63-Vm00sli2Uw917KZld5H4Mfrp2zddDinlXT-v_MfoU15UZfwypm_Afa0UBVh1lgMViqJkmqWvzpwKeumvS2PYq0w1AftCPRQ8vneRha1l8Nd6pZMYXSE/s1600/im.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img alt="การปฏิบัติตัวหลังฉีดวัคซีนในเด็ก" border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7tGfhe0XtPYEEeSuJ5iq7r63-Vm00sli2Uw917KZld5H4Mfrp2zddDinlXT-v_MfoU15UZfwypm_Afa0UBVh1lgMViqJkmqWvzpwKeumvS2PYq0w1AftCPRQ8vneRha1l8Nd6pZMYXSE/s1600/im.jpg" height="446" title="การปฏิบัติตัวหลังฉีดวัคซีนในเด็ก" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="font-size: small; text-align: start;"><u>การปฏิบัติตัวหลังฉีดวัคซีนในเด็ก</u></span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">การปฏิบัติตัวหลังฉีดวัคซีนในเด็ก </span></b><br />
<br />
<b>การฉีดวัคซีนในเด็ก</b>เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันของตัวเองด้วยเชื้อโรคที่อ่อนแรง หรือ บางส่วนของเชื้อโรคมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้ เพราะฉะนั้นเมื่อรับ<b>วัคซีน</b>แล้วอาจมีอาการข้างเคียงบางอย่างเกิดขึ้นได้
ทั้งนี้เนื่องจากร่างกายมีปฏิกิริยาต่อ<b>วัคซีน</b>ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอาการไม่มาก และจะหายไปเอง ตัวอย่างเช่น
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ตุ่มหนอง</span></b> มักเกิดจากการ<b>ฉีดวัคซีน</b> BCG ที่ฉีดบริเวณไหล่ซ้ายตอนแรกคลอด พบหลังฉีดประมาณ 3 - 4 สัปดาห์ และตุ่มหนองจะเป็นๆหายๆประมาณ 3 - 4 สัปดาห์ เหลือเป็นรอยแผลเป็นเล็กๆการดูแลตุ่มหนองให้ใช้สำลีสะอาดชุบน้ำต้มสุกเช็ด ห้ามบ่งหนอง
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ปวด บวม แดง ร้อน บริเวณที่ฉีด</span></b> เด็กอาจร้อง กวน งอแง ถ้าอาการมาก มารดาอาจให้ยาแก้ปวด และใช้ผ่าชุบน้ำเย็นประคบ
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ไข้ตัวร้อน</span></b> มักเกิดหลังได้รับ<b>วัคซีน</b>คอบตีบ บาดทะยัก ไอกรน ที่ฉีดตอนอายุ 2 , 4, 6 เดือน, 1ขวบครึ่ง และ 4 ขวบ มารดารควรเข็ดตัวลูกด้วยน้ำธรรมดา โดยเฉพาะบริเวณซอกคอ และข้อพับต่างๆ และอาจให้ยาลดไข้พาราเซตามอล อาการจะเป็น 1 - 2 วัน และจะหายไปเอง
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">มีไข้ ไอ มีน้ำมูก มีผื่น</span></b> อาจพบหลัง<b>ฉีดวัคซีน</b>หัด หัดเยอรมัน คางทูม ประมาณ 1 สัปดาห์ โดยมากอาการมักไม่รุนแรง
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">คำแนะนำในการมาฉีดวัคซีนในเด็กครั้งต่อไป </span></b><br />
<br />
1.ในวันนัด ถ้าเด็กเป็นไข้ไม่สบาย ควรให้เด็กหายดีก่อนหลังจากนั้น 1 สัปดาห์จึงพามารับวัคซีน<br />
<br />
2.ในกรณีที่ไม่สามารถมาตามนัดได้ ท่านสามารถพามารับวัคซีนเพื่อกระตุ้นให้ครบไม่ว่าจะเว้นไว้ไปนานเท่าใดได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่ไม่ควรพามาก่อนนัดเนื่องจากระยะห่างระหว่างการกระตุ้นของวัคซีนที่สั้นเกินไปจะมีผลให้ภูมิต้านทานโรคขึ้นน้อยกว่าปกติ<br />
<br />
3.ถ้าเด็กเคยมีประวัติแพ้ยา แพ้ไข่ไก่ หรือเคยมีอาการผิดปกติรุนแรงหลังได้รับวัคซีน เช่น ชัก ผื่น ลมพิษไข้สูงมาก ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนได้รับวัคซีนครั้งต่อไป
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ข้อมูลจากโรงพยาบาลธนบุรี</span></b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-77640836023091895462014-08-22T04:05:00.003-07:002014-08-22T04:05:30.237-07:00มารู้จักกับโรคริดสีดวงจมูก และวิธีการรักษา<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgvOMfNVM1KPjlIb7IxdqHsrsJSywwvOSAWaytRuVJtGzswpEVQYKQLWb4nRDq-ekuiBYQvDp5m7vLKT0R9KEU9o_ywknGs1HcymulVg_r3ycx9vufN3nVa-BMxsXO3LeD8gnDxq39n8yw/s1600/im.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img alt="มารู้จักกับโรคริดสีดวงจมูก และวิธีการรักษา" border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgvOMfNVM1KPjlIb7IxdqHsrsJSywwvOSAWaytRuVJtGzswpEVQYKQLWb4nRDq-ekuiBYQvDp5m7vLKT0R9KEU9o_ywknGs1HcymulVg_r3ycx9vufN3nVa-BMxsXO3LeD8gnDxq39n8yw/s1600/im.jpg" height="444" title="มารู้จักกับโรคริดสีดวงจมูก และวิธีการรักษา" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">มารู้จักกับโรคริดสีดวงจมูก และวิธีการรักษา</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">มารู้จักกับโรคริดสีดวงจมูก และวิธีการรักษา</span></b><br />
<br />
<b>ริดสีดวงจมูก</b> เป็นโรคที่หลายๆคนยังสงสัย และสับสนกับไซนัสอักเสบ ในความเป็นจริงแล้ว<b> โรคริดสีดวงจมูก</b> คือ การที่เยื่อบุจมูก หรือ ไซนัส มีการอักเสบและบวม จนยื่นออกมาเป็นก้อน ทำให้โพรงจมูกและ/หรือไซนัสแคบ
โดยก้อนที่งอกออกมานั้นอาจยื่นมาปิดโพรงจมูก หรือแม้แต่ห้อยลงไปในลำคอก็ได้<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">สาเหตุของโรคริดสีดวงจมูก</span></b><br />
<br />
สำหรับสาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยหลักๆที่ทำให้เกิดโรค คือ การที่คนไข้นั้นๆเป็นหวัดบ่อย เกิดจากการติดเชื้อในโพรงจมูกซ้ำๆ และขณะเดียวกันกับร่างกายก็ขาดภูมิต้านทานที่ดี ทำให้เกิดการบวมในโพรงจมูกบ่อยๆนานๆ
เข้าก็สามารถเกิดเป็น<b>โรคริดสีดวงจมูก</b>นี้ได้ นอกจากนี้ คือ การตอบสนองของปลายประสาทที่หลอดเลือดโพรงจมูกมีความไวเกินไป<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">อาการของโรคริดสีดวงจมูก</span></b><br />
<br />
เมื่อ<b>ริดสีดวงจมูก</b>มีขนาดโตขึ้นจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการคัดแน่นจมูก ซึ่งจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ อาจมีอาการจามหรือ น้ำมูกได้ ซึ่งอาจมีลักษณะใส ขุ่นข้น เหนียวหรือมีเหลือง เขียว ผู้ป่วยอาจได้รับกลิ่นน้อยลงหรือไม่ได้กลิ่น ในรายที่มีไซนัสอักเสบร่วมด้วย อาจมีน้ัำมูก เสมหะเหลือง เขียว
ไหลลงคอ อาจมีอาการ ปวดตื้อบริเวณแก้ม หรือ สันจมูก ปวด หรือ มึนศีรษะ เจ็บคอเรื้อรัง ไอหรือ กระแอมบ่อย ระคายคอ แสบคอและ หูอื้อได้<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">วิธีการรักษาโรคริดสีดวงจมูก</span></b><br />
<br />
1.ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูกยาจะช่วยลดขนาดของ<b>ริดสีดวงจมูก</b>และป้องกันไม่ให้มีขนาดโตขึ้น ถ้ายังมีริดสีดวงจมูกเหลืออยู่และอาการผู้ป่วยยังไม่ดีขึ้น หลังจากการใช้สเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูกระยะหนึ่งแล้วควรผ่าตัดเอาริดสีดวงจมูกออก
<br />
<br />
2.ยาสเตียรอยด์ชนิดกินหรือฉีดการใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดกินหรือฉีดร่วมกับยาสเตียรอยด์ชนิดพ่น จะทำให้อาการผู้ป่วยดีขึ้นมากและขนาดของ<u>ริดสีดวง</u>จมูกเล็กลงอย่างชัดเจน และทำให้การได้รับกลิ่นดีขึ้นด้วย
<br />
<br />
3.การทำผ่าตัดเอาริดสีดวงจมูกออกแบบธรรมดา(Simple polypectomy)การผ่าตัดเอาริดสีดวงจมูกออกอาจจะใช้วิธีดั้งเดิม คือ การใช้ลวดคล้องและดึงออกมา เป็นการผ่าตัดเอาริดสีดวงจมูกออกเท่านั้น ไม่ได้ผ่าตัดเข้าไซนัส
<br />
<br />
4.<b>การผ่าตัดริดสีดวงจมูก</b>และไซนัสด้วยการใช้กล้องส่วนใหญ่จะได้ผลดีถึงดีมาก ประกอบด้วย การตัดเอาริดสีดวงจมูกออกร่วมกับการผ่าตัดบริเวณรูเปิดไซนัสให้โล่ง โดยสรุป การผ่าตัดโดยการใช้กล้องเป็นทางเลือกที่ดีในการผ่าตัด
ริดสีดวงจมูก ควรเลือกใช้การผ่าตัดด้วยกล้องหลังจากให้การรักษาด้วยยาเต็มที่แล้ว แต่อาการผู้ป่วยไม่ดีขึ้น ในรายที่มีริดสีดวงจมูกเต็มโพรงจมูก อาจใช้การผ่าตัดเอาริดสีดวงจมูกออกแบบธรรมดาก่อน แล้วจึงให้การรักษาด้วยยาอย่างเต็มที่เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3-6
เดือน ถ้าไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรจึงให้การรักษาด้วยการผ่าตัดโดยการใช้กล้อง หลังผ่าตัดก็จะติดตามผู้่ป่วยและให้การรักษาต่อเนื่องไป โดยการปรับขนาดของยาสเตียรอยด์ชนิดกินและพ่นให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการรักษาริดสีดวงจมูก
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ข้อมูลจากโรงพยาบาลธนบุรี</span></b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-90256862535730219002014-08-22T03:46:00.002-07:002014-08-22T03:46:18.131-07:00มาดูกันว่าพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ทั้ง 9 เดือน<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHveyVxt2fCsSiwNmS66QNFu6oLRy2KWqdTcTUPNLGbD8Mnh4PN1F6zpqLEyzUtd28zY260OBHIE09iZJL10avNtGxts-nOEOngAwo3g8pEbKK_RGBMXa5TxFe-SZFvXp1KS8VGmu60fU/s1600/im.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img alt="มาดูกันว่าพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ทั้ง 9 เดือน" border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHveyVxt2fCsSiwNmS66QNFu6oLRy2KWqdTcTUPNLGbD8Mnh4PN1F6zpqLEyzUtd28zY260OBHIE09iZJL10avNtGxts-nOEOngAwo3g8pEbKK_RGBMXa5TxFe-SZFvXp1KS8VGmu60fU/s1600/im.jpg" height="440" title="มาดูกันว่าพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ทั้ง 9 เดือน" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><u>มาดูกันว่าพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ทั้ง 9 เดือน</u></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<span style="color: #b45f06;">มาดูกันว่าพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ทั้ง 9 เดือน</span><br />
<br />
<b>พัฒนาการทางร่างกายของลูกน้อยในครรภ์</b><br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ตั้งครรภ์เดือนที่ 1</span></b> เป็นตัวอ่อน อยู่ในช่วงเริ่มพัฒนาอวัยวะสำคัญทั้งหมด<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ตั้งครรภ์เดือนที่ 2</span></b> ร่างกายยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ศีรษะจะมีขนาดใหญ่กว่าส่วนอื่น<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ตั้งครรภ์เดือนที่ 3</span></b> อวัยวะสำคัญทั้งหมดสร้างเรียบร้อย ความยาวลำตัวประมาณ 9 เซนติเมตร น้ำหนัก 40-48 กรัม<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ตั้งครรภ์เดือนที่ 4</span></b> ลูกน้อยจะมีศีรษะและใบหน้าที่ใกล้เคียงกับใบหน้าที่สมบูรณ์ ผิวโปร่งใสเห็นเส้นเลือดชัดเจน กลืนน้ำคร่ำได้ ความยาวประมาณ 16 เซนติเมตร<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ตั้งครรภ์เดือนที่ 5</span></b> เริ่มมีขนอ่อน ๆ ตามตัว และมีผมบาง ๆ ระบบประสาทสมบูรณ์ ยาว 16 เซนติเมตร หนัก 500 กรัม<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ตั้งครรภ์เดือนที่ 6</span></b> ลูกดิ้นแรงขึ้น ลำตัวยาว 30 เซนติเมตร หนัก 600 กรัม<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ตั้งครรภ์เดือนที่ 7</span></b> ลำตัวยาว 35 เซนติเมตร น้ำหนัก 1,000-2,000 กรัม<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ตั้งครรภ์เดือนที่ 8</span></b> ลำตัวยาว 40-45 เซนติเมตร น้ำหนัก 2,000 กรัม ลืมตามองสิ่งต่าง ๆ ในครรภ์ได้<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ตั้งครรภ์เดือนที่ 9</span></b> ปอดและผิวหนังสมบูรณ์ ความยาวประมาณ 45-50 เซนติเมตร ศีรษะทารกจะค่อย ๆ เคลื่อนลงอุ้งเชิงกรานมารดา<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">พัฒนาการทางระบบประสาทของลูกน้อยในครรภ์</span></b><br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ช่วงเดือนที่ 5-6 (20-24สัปดาห์) : </span></b> ลูกน้อยจะเริ่มพัฒนาการด้านการได้ หูและโครงสร้างการรับเสียง เริ่มที่อายุครรภ์ประมาณ 22 สัปดาห์จะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ชัดเจนมากขึ้นหลังอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ ขณะเดียวกันก็เริ่มมีการแสดงสีหน้าและร้องไห้ได้
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ช่วงเดือนที่ 6-7 (24-28 สัปดาห์) :</span></b> สัปดาห์ที่ 26 ลูกน้อยจะรับสัมผัสจากคุณแม่ได้ตลอดเวลา ต้นสัปดาห์ที่ 28 ลูกน้อยจะมีเริ่มมีประสาทสัมผัสในการรับกลิ่นและรับรสได้ ตามมาด้วยพัฒนาการของการมองเห็น โดยพบว่าช่วงปลายสัปดาห์ที่ 28 ลูกน้อยมีการกระพริบตาตอบสนองต่อแสงไฟได้
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ช่วงเดือนที่ 7-8 (28-32 สัปดาห์) : </span></b> ลูกน้อยสามารถแยกแยะเสียงสูง-ต่ำได้ รวมถึงสามารถจดจำและแยกแยะเสียงของคุณแม่ได้ด้วย สัปดาห์ที่ 29 ลูกน้อยจะสามารถลืมตาได้ หลังอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ ลูกน้อยในครรภ์จะมีการพัฒนาการของสมองอย่างสมบูรณ์ การมองเห็นใกล้เคียงกับทารกแรกเกิด
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ช่วงเดือนที่ 8-9 (32-36 สัปดาห์) :</span></b> ลูกน้อยจะมีการรับรู้รสชาติของอาหารบางอย่างที่คุณแม่รับประทานด้วย และเกิดความคุ้นเคยได้ รวมทั้งมีพัฒนาการตอบสนองต่อเสียงอย่างสมบูรณ์
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ข้อมูลจากโรงพยาบาลธนบุรี</span></b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-63182135918658131992014-08-22T03:41:00.000-07:002014-08-22T03:41:02.735-07:00วิธีการบริหารเพื่อป้องกันอาการอ้าปากค้าง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3mAlC4F6dabvgLzZ484m3f8f-cG2IlDdrGnii1dHF9a6Cza6t9rj_xrvF3dKWISrv-GVtpP0yNnrlERXN7EJbvuKpsaPRPXa9-iudgvXY21yX5Ew423emzvuDuhOWjhjvM6ww1ofu8DA/s1600/im.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="วิธีการบริหารเพื่อป้องกันการอ้าปากค้าง" border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3mAlC4F6dabvgLzZ484m3f8f-cG2IlDdrGnii1dHF9a6Cza6t9rj_xrvF3dKWISrv-GVtpP0yNnrlERXN7EJbvuKpsaPRPXa9-iudgvXY21yX5Ew423emzvuDuhOWjhjvM6ww1ofu8DA/s1600/im.jpg" height="320" title="วิธีการบริหารเพื่อป้องกันการอ้าปากค้าง" width="288" /></a></div>
<br />
<b><span style="color: #e69138;">วิธีการบริหารเพื่อป้องกันการอ้าปากค้าง</span></b><br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">Hypermobility exercise </span></b>คือ การบริหารที่ออกแบบเพื่อจำกัดการ<b>อ้าปาก</b>ไม่ให้กว้างเกินไป ซึ่งการอ้าปากกว้างเกินไปอาจเสี่ยงต่อ<b>การอ้าปากค้าง</b>ได้ ควรทำการบริหารช้าๆ และ นุ่มนวล
ครั้งละ 10 รอบ วันละ 3 ครั้ง<br />
<br />
1.แผ่ลิ้นให้แตะเพดานปาก ดึงลิ้นลงจากเพดานปากทำให้เกิดเสียง "เต๊าะ"<br />
<br />
2.เอาปลายลิ้นแตะเพดานปาก แล้วอ้าปากหุบปากช้าๆ ให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยที่ปลายลิ้นไม่หลุดออกจากเพดานปาก<br />
<br />
3.การบริหารเพื่อเพิ่มความแข็งแรงแก่กล้ามเนื้อ ทำได้โดยขณะ<b>อ้าปาก</b>เล็กน้อย วางนิ้วชี้และนิ้วกลาง บนด้านบดเคี้ยวของฟันกรามล่างทั้งข้างซ้ายและขวา ออกแรงกดลงเล็กน้อย
ขณะที่พยายามเกร็งกล้ามเนื้อเพื่อหุบปาก ไม่กัดนิ้วไว้ประมาณ 5 วินาที<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ข้อควรระวัง</span></b><br />
<br />
* ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารคำโตๆ การทำฟันที่ต้องอ้าปากกว้างๆและใช้เวลานานๆ<br />
<br />
*จำกัดการหาวโดยใช้ปลายนิ้วกลางแต่ปลายจมูก งอมือใให้อุ้งมือรองใต้คางหรือจำกัดระยะการหาวโดยทำตามข้อ 2<br />
<br />
<b><span style="color: #e69138;">ข้อมูลจากโรงพยาบาลธนบุรี</span></b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-2748759826774997932014-08-21T03:27:00.002-07:002014-08-21T03:27:25.728-07:00มารู้จักกับโรคอัมพาตใบหน้า <table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgLb5OiKTlBUogdUlHstQYpR6ZMMhQisqtrbss2sYowmWfDx5ZKakZ4o6CoV62DrEOQLgZFa9M_MEfoCw3jL_yiIbvlZbnz06eBxIBZsu4DjSS5WG91-sgAXmlcT9sysOlMxosCZ-_txWU/s1600/im.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img alt="มารู้จักกับโรคอัมพาตใบหน้า " border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgLb5OiKTlBUogdUlHstQYpR6ZMMhQisqtrbss2sYowmWfDx5ZKakZ4o6CoV62DrEOQLgZFa9M_MEfoCw3jL_yiIbvlZbnz06eBxIBZsu4DjSS5WG91-sgAXmlcT9sysOlMxosCZ-_txWU/s1600/im.jpg" height="386" title="มารู้จักกับโรคอัมพาตใบหน้า " width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><u>มารู้จักกับโรคอัมพาตใบหน้า</u> </td></tr>
</tbody></table>
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">มารู้จักกับโรคอัมพาตใบหน้า </span></b><br />
<br />
เป็นโรคคนละกลุ่มกับ<b>โรคหลอดเลือดสมอง</b>หรือ<b>โรคอัมพาต</b>ที่คนทั่วๆไปรู้จัก กล่าวคือ โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง
แต่<b>โรคอัมพาตใบหน้า</b>นี้เกิดจาความผิดปกติของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า พบได้บ่อยในคนทุกอายุ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพและทุกเชื้อชาติ
โรคนี้ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงหรือ รุนแรงแต่อย่างใด และมักจะรักษาให้หายได้เกือบ 100 เปอร์เซนต์ ภายในเวลาไม่เกิน 2 เดือน ถ้าหากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างรวดเร็วและทันเวลา
<br />
<br />
ลักษณะของ<b>โรคอัมพาตใบหน้า</b> พบว่า มักจะเกิดอาการขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน หรือ แบบทันทีทันใด และ ไม่ทันรู้เนื่อรู้ตัวมาก่อน อาจมีอาการแสบตาข้างเดียว เพราะไม่สามารถปิดตาได้สนิท ในเวลาถูกลม หรือ
มีอาการรับประทานอาหารแล้วน้ำลายไหลออกทางมุมปากข้างใดข้างหนึ่ง ต่อมาอาการของโรคอาจจะเป็นมากขึ้นจนปากเบี้ยวและปิดตาไม่สนิท จนสามารถสังเกตมองเห็นได้ชัดเจนเวลาผู้ป่วยพูด
ยิ้ม หรือ กะพริบตา บางรายอาจมีอาการมากจนไม่สามารถขยับมุมปาก หลับตา หรือยักคิ้วหลิ่วตาได้เลย
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">การรักษาโรคอัมพาตใบหน้าได้ผลดีหรือไม่เพียงใด</span></b><br />
<br />
พบว่าผู้ป่วยราวร้อยละ 80 - 85 จะมีการหายของโรคได้อย่างสมบูรณ์ คือ หายสนิทจนเป็นปกติ ยกเว้น ผู้ป่วยบางราย ราว 10 - 15 เปอร์เซนต์ ที่มีอาการบ่งชี้ของการพยากรณ์โรคที่เลว อันได้แก่ <br />
<br />
ก. รายที่มีอาการ<b>อัมพาต</b>กล้ามเนื้อชนิดรุนแรงจนไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อใบหน้าได้เลย<br />
ข. รายที่มีโรคประจำตัวอันได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง ร่วมด้วย<br />
ค. รายที่มีอาการปวดบริเวณใบหน้าเกิดขึ้นด้วย (ยกเว้นอาการปวดบริเวณหู)<br />
<br />
<blockquote class="tr_bq">
<b><span style="color: #b45f06;">พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ในขนาดสูงๆ ตั้งแต่ต้น คือ ภายในสัปดาห์แรกของการเกิดโรคมักจะมีการฟื้นและหายได้อย่างดีถึงร้อยละ 95 </span></b></blockquote>
Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-64237373742547234432014-08-21T03:13:00.004-07:002014-08-21T03:13:49.338-07:00คำแนะนำที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดทางนรีเวช<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfExF5sR8TqikYMGsxbD-2K6lqwsiS2qFxQEkxIeKYdFlJCTJth7YdIylvudQ6ugdgbFnD6aH_PM4OnViby2RAtytHWPrgLcjr3YMIDGzdtL4YpyTjw_I-vBDOlPvN3m_onVWP6OzZA_Y/s1600/im.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img alt="คำแนะนำที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดทางนรีเวช" border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfExF5sR8TqikYMGsxbD-2K6lqwsiS2qFxQEkxIeKYdFlJCTJth7YdIylvudQ6ugdgbFnD6aH_PM4OnViby2RAtytHWPrgLcjr3YMIDGzdtL4YpyTjw_I-vBDOlPvN3m_onVWP6OzZA_Y/s1600/im.jpg" height="390" title="คำแนะนำที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดทางนรีเวช" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><u>คำแนะนำที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดทางนรีเวช</u></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">คำแนะนำที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดทางนรีเวช</span></b><br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ประเภทของการผ่าตัด</span></b><br />
<br />
ผ่าตัดมดลูก ผ่าตัดรังไข่ ผ่าตัดมดลูกและรังไข่(บางรายร่วมกับการผ่าตัดไส้ติ่ง)<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">เวลาที่ใช้ในการผ่าตัด</span></b><br />
<br />
ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนละสังเกตอาการที่ห้องพักฟื้นต่ออีกประมาณ 1-2 ชั่วโมง ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ จึงส่งผู้ป่วยกลับไปหอผู้ป่วย<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">สภาพหลังการผ่าตัด</span></b><span style="color: #b45f06;"><b>ทางนรีเวช</b></span><br />
<br />
-มีแผลผ่าตัดบริเวณหน้าท้อง<br />
-มีสายน้ำเกลือที่แขนข้างใดข้างหนึ่ง บางรายอาจมีฉีดยาปฏิชีวนะทางสายน้ำเกลือ ประมาณ 1-2 วัน<br />
-สวนคาสายปัสสาวะไว้ประมาณ 1-2 วัน(ยกเว้นในบางกรณีอาจคาสายไว้นานกว่านี้)<br />
-อาการข้างเคียงหลังดมยาสลบ เช่น เจ็บคอ คลื่นไส้อาเจียน เวียนศรีษะ<br />
-อาการข้างเคียงหลังได้รับยาระงับความรู้สึก โดยฉีดยาชาบริเวณหลัง เช่น อาการคันตามร่างกาย ปวด--ศรีษะ คลื่นไส้อาเจียน ผู้ป่วยนอนราบ 12 ชั่วโมง<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">คำแนะนำก่อนผ่าตัด</span></b><span style="color: #b45f06;"><b>ทางนรีเวช</b></span><br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">การเตรียมตัวก่อนมาโรงพยาบาล</span></b><br />
<br />
1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีความพร้อมในการผ่าตัด<br />
2. พักผ่อนทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพื่อให้แข็งแรง ไม่อ่อนเพลียก่อนผ่าตัด<br />
3. ก่อนผ่าตัด 1 วัน ควรทำความสะอาดร่างกาย อาบน้ำ ตัดเล็บไม่ทาเล็บ<br />
4. มา Admit ที่โรงพยาบาลก่อนเวลาผ่าตัดอย่างน้อย 4 ชั่วโมง<br />
5. งดใส่เครื่องประดับมาโรงพยาบาล<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด</span></b><span style="color: #b45f06;"><b>ทางนรีเวช</b></span><br />
<br />
1. งดน้ำงดอาหาร ประมาณ 6 ชั่วโมง ก่อนผ่าตัด หรือตามคำสั่งแพทย์โดยอาหารที่รับประทานก่อนงดควรเป็นอาหารอ่อน ย่อยง่าย<br />
2. ถอดฟันปลอม เครื่องประดับหรือของมีค่าก่อนเข้าห้องผ่าตัด<br />
3. เตรียมผ่าตัดตามคำสั่งแพทย์โดยเจ้าหน้าที่ เช่น<br /><br />
-โกนขนบริเวณหน้าท้องและหัวหน่าว<br />
-สวนล้างช่องคลอด<br />
-สวนอุจจาระ<br />
-สวนคาสายปัสสาวะ<br />
-การใช้ยาก่อนผ่าตัด(ถ้ามี)<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">การปฏิบัติตัวเมื่อกลับจากห้องผ่าตัด</span></b><span style="color: #b45f06;"><b>ทางนรีเวช</b></span><br />
<br />
1. หายใจเข้าออกลึกๆ โดยทำจำนวน 5 ครั้งในทุกๆ 1 ชั่วโมง<br />
<br />
วิธีการ<br />
- นอนศรีษะสูงหรือลุกนั่ง งอเข่าเล็กน้อยยกเว้นในกรณี Block หลัง<br />
- ใช้มือทั้ง 2 ข้าง วางหรือประสานกันบริเวณแผลหรือใช้หมอนวางบริเวณแผลทำให้ลดความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น<br />
- หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ทางจมูก ค้างไว้ประมาณ 3 วินาที(นับ 1-2-3 ในใจ)<br />
- ห่อริมฝีปากเหมือนจะผิวปาก แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ยาวๆ<br />
<br />
2. ไอแบบมีประสิทธิภาพ เพื่อเอาเสมหะออกจากลำคอ<br />
<br />
วิธีการ<br />
- หายใจเข้าออกลึกๆ ประมาณ 4 ครั้ง(ตามวิธีดังกล่าวข้างต้น)<br />
- ครั้งที่ 4 หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้ประมาณ 3 วินาที (นับ 1-2-3 ในใจ)<br />
- ใช้มือทั้ง 2 ข้างกดแผลก่อนไอ<br />
- แล้วไออกมาจากส่วนลึกของลำคอ 1-2 ครั้ง เพื่อขับเสมหะที่คั่งค้างออกมา<br />
<br />
3. หลังผ่าตัดสามารถพลิกตะแคงตัวได้ตามความต้องการและภายหลัง 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัดพยาบาลแนะนำวิธีการลุกนั่ง/ลุกจากเตียงอย่างถูกวิธีโดย<br />
<br />
- นอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่ง<br />
- ใช้ข้อศอกข้างที่อยู่ด้านล่างยันกับพื้น<br />
- แขนอีกข้างเกาะไหล่คนที่ช่วยพยุงหรือเหล็กกั้นเตียง<br />
- แล้วยกตัวขึ้นในท่าตะแคง<br />
<br />
4. งดน้ำงดอาหารจนกว่าจะมีคำสั่งแพทย์ให้เริ่มอาหารโดยส่วนใหญ่ประมาณ 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด โดยจะเริ่มที่อาหารเหลวแนะนำให้จิบน้ำอุ่นหรือน้ำข้าว น้ำซุปจำนวนน้อยๆก่อนแล้วจึงค่อยๆ
เพิ่มปริมาณให้มากขึ้นและเปลี่ยนเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย งดนม งดน้ำอัดลม เพราะจะทำให้ท้องอืดได้ และหลังรับประทานอาหารควรลุกนั่งหรือเดินอย่างน้อย 10-15 นาที เพื่อป้องกันภาวะท้องอืด<br />
<br />
5. ภาวะหลังผ่าตัด อาจมีไข้ ท้องอืด หรือมีเลือดอออกทางช่องคลอดได้<br />
<br />
6. ถ้ามีอาการผิดปกติอื่นๆ กรุณาแจ้งแพทย์ หรือพยาบาลที่ดูแลทราบ<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">คำแนะนำเมื่อกลับบ้าน</span></b><br />
<br />
1. การดูแลแผลผ่าตัด ถ้าเปิดพลาสเตอร์กันน้ำ ให้อาบน้ำได้ตามปกติโดยการตักอาบหรือฝักบัว ไม่ควรนอนแช่อ่างหรือแม่น้ำลำคลอง แต่ถ้าแผลไม่ได้ปิดพลาสเตอร์กันน้ำห้ามให้แผลโดนน้ำ<br />
<br />
2. ห้ามยกของหนักและห้ามขับรถ ประมาณ 1- 2 เดือน<br />
<br />
3. งดการมีเพศสัมพันธ์หลังผ่าตัดประมาณ 6-8 สัปดาห์<br />
<br />
4. กรุณามาตรวจตามนัด แต่ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น แผลอักเสบ บวมแดง ไข้สูง มีเลือดออกจำนวนมากหรือหนองออกจากช่องคลอด ให้รีบมาพบแพทย์ก่อนวันนัด<br />
<br />
5. สภาวะหลังผ่าตัดมดลูก และ/หรือรังไข่ทั้งสองข้างจะทำให้ไม่มีประจำเดือนไม่สามารถมีบุตรได้<br />
<br />
<blockquote class="tr_bq">
<span style="color: #b45f06;">การผ่าตัดรังไข่ทั้งสองข้าง บางรายอาจมีอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมาก ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศรีษะ หงุดหงิด ใจสั่นได้ เนื่องจากร่างกายขาดฮอร์โมนเพศหญิง
ถ้ามีอาการเหล่านี้สามารถรักษาได้โดยการให้ฮอร์โมนเพศหญิงเข้าไปทดแทน โดยแพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำ
</span></blockquote>
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ข้อมูลจากโรงพยาบาลธนบุรี</span></b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-54718264981254627012014-08-21T02:42:00.002-07:002014-08-21T02:42:32.057-07:00สาระน่ารู้เกี่ยวกับการป้องกันมะเร็งปากมดลูก<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3Q_isiDxeOleYTgSBNt70kgknhpfwfRZRqoOUcXQppVamZxUTWg8JVptbDIUKFW2anyKw94DE2ZzN6kUVfUlykmY4H8nMqitHVvfxF4-0hTcjXGpUtTWYf2Bj_Y0G4UxMwR27_zjObcQ/s1600/im.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img alt="สาระน่ารู้เกี่ยวกับการป้องกันมะเร็งปากมดลูก" border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3Q_isiDxeOleYTgSBNt70kgknhpfwfRZRqoOUcXQppVamZxUTWg8JVptbDIUKFW2anyKw94DE2ZzN6kUVfUlykmY4H8nMqitHVvfxF4-0hTcjXGpUtTWYf2Bj_Y0G4UxMwR27_zjObcQ/s1600/im.jpg" height="418" title="สาระน่ารู้เกี่ยวกับการป้องกันมะเร็งปากมดลูก" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><u>สาระน่ารู้เกี่ยวกับการป้องกันมะเร็งปากมดลูก</u></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">สาระน่ารู้เกี่ยวกับการป้องกันมะเร็งปากมดลูก</span></b><br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">1.HPV Virus เกี่ยวข้องอย่างไรกับโรคมะเร็งปากมดลูก</span></b><br />
<br />
- HPV Virus พบมากกว่า 100 สายพันธุ์ แต่มีเพียง 15 ชนิด ซึ่งเป็นสายพันธุ์รุนแรงโดยเฉพาะ<br />
<br />
สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งก่อให้เกิด<b>มะเร็งปากมดลูก</b>ร้อยละ 70 ส่วนมะเร็งอื่นๆ เช่น มะเร็งช่อง
คลอดในสตรี มะเร็งอวัยวะเพศภายนอก รวมถึงมะเร็งทวารหนักในบุรุษ เป็นต้น<br />
<br />
- การติดเชื้อ HPV นั้นไม่ใช่ทุกรายจะกลายเป็น<b>มะเร็งปากมดลูก</b> เพราะมีโอกาสหายได้เอง
ประมาณร้อยละ 90<br />
<br />
- การสัมผัสทางผิวหนัง โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์เป็นสาเหตุหลักในการติดเชื่อ HPV เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านเยื่อบุผิว โดยเฉพาะที่<b>ปากมดลูก</b> อวัยวะเพศภายนอกที่มีแผลหรือ
รอยฉีกขาด แล้วไวรัสนี้จะฝังตัวในเซลล์เยื่อบุชั้นล่างสุด เนื้อเยื่อบริเวณนั้นจึงค่อยๆเปลี่ยน
แปลงอย่างช้าๆแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะฟักตัว ระยะก่อนมะเร็ง และระยะมะเร็ง ซึ่งตั้งแต่
การติดเชื้อจนกลายเป็นมะเร็งใช้เวลาเปลี่ยนแปลงถึง 10 - 20 ปี<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">2.เรามีวิธีการป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้หรือไม่</span></b><br />
<br />
<b>- ปัจจุบันมีแนวทางการป้องกันมะเร็งปากมดลูกโดย</b><br />
<br />
* การฉีดวัคซีนซึ่งเป็นปราการด่านแรกที่ป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ HPV เข้าสู่ร่างกาย<br />
* การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ เป็นแนวป้องกันลำดับที่ 2 เพื่อค้นหา
และติดตาม การติดเชื้อ HPV ระยะก่อนมะเร็งหรือ ระยะแรกของ<b>มะเร็งปากมดลูก</b> แล้วรักษา
ก่อนที่จะมีการลุกลามมากขึ้น<br />
<br />
- เวลาการดำเนินของโรคแม้จะใช้เวลานาน แต่เราควรป้องกันตนเองไว้ก่อนที่จะสายเกินไป<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">3.มาทำความรู้จักกับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกกันเถอะ</span></b><br />
<br />
<b>วัคซีนในปัจจุบันมี 2 ชนิด ได้แก่</b><br />
<br />
- ชนิดที่ป้องกันได้ 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ 16 และ 18 วัคซีนชนิดนี้สามารถกระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกายให้ขึ้นสูงกว่าวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์<br />
- ชนิดที่ป้องกันได้ 4 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ 16 , 18 , 6 และ 11 ซึ่งสายพันธุ์ 6 และ 11 ไม่ทำให้เป็นมะเร็งแต่จะก่อให้เกิดโรคที่สร้างความกังวลใจ เช่น หูดหงอนไก่ หูดข้าวสุก เป็นต้น<br />
*ประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งที่เกิดจากสายพันธุ์ 16 และ 18 ของวัคซีนทั้งสองชนิดใกล้เคีียงกัน<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">4.ใครบ้างที่สามารถฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก</span></b><br />
<br />
- อายุ 11 -26 ทั้งหญิงและชาย ในกลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์สูงสูด โดยเฉพาะที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์<br />
- กลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว และสตรีวัย 45 ถึง 55 ปี สามารถฉีดวัคซีนได้ แม้การป้องกันอาจไม่ดีเท่าในกลุ่มแรก แต่ถ้าไม่เคยติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 หรือ 18 ยังได้รับการป้องกันที่ดี<br />
- กลุ่มชายรักชาย สามารถฉีดวัคซีนได้เช่นกัน แต่จะแนะนำให้ฉีดชนิด 4 สายพันธุ์ ซึ่งมีงานวิจัยรองรับในปัจจุบัน<br />
-สตรีที่<b>ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมด</b>ลูกผิดปกติสามารถฉีดได้ แต่ควรติดตามรักษาไปพร้อมกัน และขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ทำการรักษาด้วย<br />
- สตรีที่ผ่าตัดมดลูกออกแล้วสามารถฉีดวัคซีนได้ โดยจะป้องกัน<b>มะเร็งช่องคลอด</b>และมะเร็งอวัยวะเพศภายนอก แต่มะเร็งทั้งสองชนิดพบได้น้อย<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ข้อมูลจากโรงพยาบาลธนบุรี</span></b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-76598808339202641192014-08-21T02:28:00.002-07:002014-08-21T02:28:32.281-07:00คำแนะนำสำหรับคุณแม่หลังคลอดบุตร<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQRwydS0bRguocYplFBTKKdS-68sPluT00hjzVv7233jCg2P58qj4MFbJubvHK_mGEohszi8haJmvhOORFWiSGRli8nz5-dKqumupQvYAR8fUhsHTStZsXF_lTpChavc7hk8jpZsXvLC0/s1600/im.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img alt="คำแนะนำสำหรับคุณแม่หลังคลอดบุตร" border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQRwydS0bRguocYplFBTKKdS-68sPluT00hjzVv7233jCg2P58qj4MFbJubvHK_mGEohszi8haJmvhOORFWiSGRli8nz5-dKqumupQvYAR8fUhsHTStZsXF_lTpChavc7hk8jpZsXvLC0/s1600/im.jpg" height="324" title="คำแนะนำสำหรับคุณแม่หลังคลอดบุตร" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><u>คำแนะนำสำหรับคุณแม่หลังคลอดบุตร</u></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">คำแนะนำสำหรับคุณแม่หลังคลอดบุตร</span></b><br />
<br />
<b>อาการผิดปกติที่ควรรีบมารับการตรวจรักษาก่อนถึงวันนัด ได้แก่</b><br />
<br />
1. ไข้<br />
2. ปวดศรีษะอย่างรุนแรง ตาพร่ามัว<br />
3. มีเลือดสดๆ ออกทางช่องคลอดมาก<br />
4. น้ำคาวปลามีสีแดงไม่จางลง ออกจำนวนมากหรือมีกลิ่น หม็นเน่า<br />
5. เต้านมอักเสบ บวม แดง แข็งเป้นก้อน กดเจ็บ<br />
6. น่องบวมแดง กดเจ็บ<br />
7. ถ่ายปัสสาวะบ่อย แสบขัดเวลาปัสสาวะ<br />
8. หลังคลอด 2 สัปดาห์แล้วยังคลำได้ก้อนทางหน้าท้อง<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">คำแนะนำสำหรับคุณแม่หลังคลอดบุตรในเรื่องต่างๆที่ควรรู้และปฏิบัติ</span></b><br />
<br />
<b>การรับประทานอาหาร</b> ควรรับประทานอาหารที่มีคุณค่าเพื่อส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรง และผลิตน้ำนมได้เพียงพอ เช่น อาหารพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่ว ไข่ นมสด ผัก และผลไม้ทุกชนิด
ดื่มน้ำอย่างน้อย วันละ 6-8 แก้ว อาหารที่ควรงดได้แก่ อาหารรสจัดของหมักดอง น้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์เนื่องจากสามารถผ่านทางน้ำนมได้<br />
<br />
<b>การพักผ่อน</b> ควรพักผ่อนมากๆใน 2 สัปดาห์แรกโดยในตอนกลางวันควรพักผ่อนประมาณ 1-2 ช่วโมงหรือพักผ่อนในช่วงที่ทารกหลับ ส่วนในตอนกลางคืนควรพักผ่อนอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง<br />
<br />
<b>การทำงาน</b> ในระยะ 2 สัปดาห์แรก<b>หลังคลอด</b>สามารถทำงานบ้านเบาๆ ได้ไม่ควรยกของหนักหรือทำงานที่ต้องออกแรงมาก เพราะกล้ามเนื้อและเอ็นต่างๆยังไม่แข็งแรงซึ่งอาจทำให้มดลูกหย่อนภายหลังได้
หลังคลอด 2 สัปดาห์ไปแล้วค่อยๆทำงานเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนครบ 6 สัปดาห์จึงทำงานได้ตามปกติ<br />
<br />
<b>การรักษาความสะอาดของร่างกาย</b> ควรอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง ไม่ควรแช่ในอ่างน้ำ หรือแม่น้ำลำคลองเพราะเชื้อโรคอาจผ่านเข้าไปในดพรงมดลูกทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ควรสระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
ตัดเล็บให้สั้นเสื้อผ้าต้องสะอาดอยู่เสมอ เพื่อให้ร่างกายสะอาดสามารถดูแลบุตรในวัยทารกแรกเกิดได้ ไม่ติดเชื้อหรืออันตรายต่างๆจากผู้ที่ให้การเลี้ยงดู<br />
<br />
<b>การดูแลรักษาเต้านมและหัวนม</b> ควรล้างให้สะอาดขณะอาบน้ำ และเช็ดทุกครั้งหลังให้นมเพราะอาจมีคราบน้ำนมแห้งติดทำให้หัวนมแตกเป็นแผลได้ ควรสวมเสื้อยกทรงพยุงเต้านมไว้
เนื่องจากเต้านมจะมีขนาดโตขึ้นอาจทำให้เต้านมหย่อนได้ภายหลัง<br />
<br />
<b>การทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์</b> ภายนอกควรทำควาสะอาดด้วยสบู่และล้างด้วยน้ำสะอาดทุกครั้งที่อาบน้ำและหลังการถ่ายปัสสาวะ หรืออุจาระและซับให้แห้งจากด้านหน้าไปหลัง
เพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคจากรูทวารหนักมาเข้าสู่ช่องคลอดได้จากนั้นใส่ผ้าอนามัยที่สะอาดเพื่อรองรับน้ำคาวปลาที่ออกมา ป้องกันติดเชื้อควรเปลี่ยนผ้าอนามัยเมื่อชุ่มหรือทุก 3-4 ชั่วโมง<br />
<br />
<b>การมีเพศสัมพันธุ์</b> ควรงดจนกว่าจะได้รับการตรวจหลังคลอดเมื่อครบ 4-6 สัปดาห์แล้วว่าไม่มีภาวะผิดปกติทั้งนี้ เนื่องจากช่วงหลังคลอดใหม่ๆ ยังมีแผลในโพรงมดลูกน้ำคาวปลา และมีแผลเย็บยังไม่ติดดีอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ข้อมูลจากโรงพยาบาลธนบุรี</span></b>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-38582619409414815452014-08-21T02:09:00.000-07:002014-08-21T02:09:34.854-07:00วิธีการการบริหารร่างกายหลังคลอดสำหรับคุณแม่<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjaX9E3Iaz4f3du6FIEPqOO1N60KKO7RyxWBb_OXmJ8m2pg3I-tlldt1Tb4q_5wymwizKYJmDqBEVktdQGawwcB4C0GCbAhiTgsjliIQCoe000XCKCju4S4Q1Nd-eWhsnmep0BUQNFm56c/s1600/im.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img alt="วิธีการการบริหารร่างกายหลังคลอดสำหรับคุณแม่" border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjaX9E3Iaz4f3du6FIEPqOO1N60KKO7RyxWBb_OXmJ8m2pg3I-tlldt1Tb4q_5wymwizKYJmDqBEVktdQGawwcB4C0GCbAhiTgsjliIQCoe000XCKCju4S4Q1Nd-eWhsnmep0BUQNFm56c/s1600/im.jpg" height="420" title="วิธีการการบริหารร่างกายหลังคลอดสำหรับคุณแม่" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><u>วิธีการการบริหารร่างกายหลังคลอดสำหรับคุณแม่</u></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">วิธีการการบริหารร่างกายหลังคลอดสำหรับคุณแม่</span></b><br />
<br />
วันนี้จะมาแนะนำท่าการ<b>บริหารร่างกายหลังคลอด</b> ที่สามารถทำได้เองทั้งหมด 5 ท่า ลองทำตามกันได้เลยสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดน้อง<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ท่าที่ 1 การหายใจ(Break thing Exercise) </span></b><br />
<br />
ทำได้ตั้งแต่<b>หลังคลอด</b>วันแรก (ครบ 12 ชั่วโมง)<br />
<br />
<b>ประโยชน์</b><br />
ช่วยเพิ่มการแลกเปลี่ยนออกซิเจนในปอด และช่วยในการไหลเวียนเลือด ตลอดจนช่วยลดอาการไม่สุขสบาย<b>หลังคลอด</b>ได้แก่ ภาวะท้องอืด ท้องผูก ถ่ายปัสาวะลำบาก
ซึ่งอาการเหล่านี้มาจากการการคั่งของการไหลเวียนเลือดบริเวณหน้าท้อง และการหย่อนของกล้ามเนื้อหน้าท้อง(Sluggish abdominal circulation)
และยังช่วยกระตุ้นร่างกายและจิตใจมารดาให้สดชื่นมีความปลอดภัย การบริหารท่านี้ สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ไม่มีอันตรายใดๆ<br />
<br />
<b>วิธีฝึกหัด</b><br />
<br />
จัดท่าโดยนอนหงายราบบนพื้นซึ่งแข็ง ศรีษะไม่หนุนหมอน นอนตัวตรง ไม่เกร็ง ชันเข่าทั้งสองข้าง เท้าขนานกัน แขนซ้ายวางราบกับื้นตามสบาย ส่วนแขนขวาวางมือไว้บริเวณหน้า
ท้องเพื่อใช้ทดสอบการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อท้องเวลาบริหาร
เริ่มหายใจเข้าทางจมูกช้าๆ พร้อมกับดันผนังหน้าท้องให้พองหรือป่องออกมาแล้ว ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกช้าๆ พร้อมกับแขม่วหน้าท้องให้ยุบหรือแฟบลงเต็มที่ให้หลังชิดทีทนอนนับเป็น 1 ครั้ง ทำทั้งหมด 10 ครั้ง<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ท่าที่ 2 บริหารกายส่วนขา(Leg Exercise)</span></b><br />
<br />
ทำได้ตั้งแต่หลังคลอดวันแรก(ครบ 12 ชั่วโมง) เช่นเดียวกับท่าแรกท่านี้เป็นวิธีบริหารกล้ามเนื้อขาและข้อเท้า<br />
<br />
<b>ประโยชน์</b><br />
ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณขาและเท้า ป้องกันการเกิดอักเสบหรือการอุดตันของลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ(Deep vein thrombosis)
การบริหารท่านี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรง ไม่อ่อนล้า ไม่เป้นตะคริว และสามารถทรงตัวได้ดี<br />
<br />
<b>วิธีฝึกหัด</b><br />
<br />
อยู่ในท่านอนหงายราบ ไม่หนุนหมอน ลำตัวเหยียดตรง แขนทั้งสองข้างวางข้างลำตัว
กระดกข้อเท้าและปลายเท้าทั้งสองข้างขึ้นจนรู้สึกว่าน่องตึงแล้วกระดกหรือกดข้อเท้าและปลายเท้าลงเป็นนับเป็น 1 ครั้ง ให้ทำ 10 ครั้ง
เกร็งกดนิ้วเท้าและข้อเท้าลงหมุนช้าๆ เข้าหาเป็นวงกลมทำให้ครบ 10 รอบ
กระดกข้อเท้าและปลายเท้าขึ้นหมุนแยกออกจากกันเป็นวงกลมทำให้ครบ 10 ครั้ง
ก่อนจะจบท่านี้ให้กระดกข้อเท้าลงอีกสักพัก 2-3 ครั้ง<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ท่าที่ 3 บริหารกายส่วนบน Upper trunk movement</span></b><br />
<br />
เริ่มทำได้ตั้งแต่หลังคลอดครบ 24 ชั่วโมง (เข้าสู่วันที่ 2 ของการคลอด)<br />
<br />
<b>ประโยชน์</b><br />
ช่วยให้กล้ามเนื้อหลังส่วนบนได้รับการผ่อนคลาย ข้อต่อต่างๆ ของกระดูกสันหลังได้เคลื่อนไหว ช่วยลดการปวดต้นคอและหลังและช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดี<br />
<br />
<b>วิธีฝึกหัด</b><br />
<br />
อยู่ในท่านอนหงายราบ ไม่หนุนหมอน ขาชิด เท้าชิด แขนและมือวางแนบลำตัว ฝ่ามือแนบโดนขาทั้งสองข้าง
ยื่นมือขวา แขนขวา ศรษะ คอ และไหล่ขวา ไปทางขวา แล้วกลับมาอยู่ในแนวตรง
ยื่นมือซ้าย แขนซ้าย ศรีษะ คอ และไหล่ซ้ายตามไปทางซ้าย แล้วกลับอยู่ในแนวตรง
ทำสลับกันขวาและซ้าย โดยทำขวา-ตรง,ซ้าย-ตรง ทำจนครบ 10 ครั้ง<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ท่าที่ 4 บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic floor exercise)</span></b><br />
<br />
เริ่มทำได้ตั้งแต่มารดาคลอดครบ 48 ชั่วโมง(เข้าสู่วันที่ 3 ของการคลอด)<br />
<br />
<b>ประโยชน์</b><br />
ช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานแข็งแรง กล้ามเนื้อบริเวณทางคลอดกระชับ ทำให้เอ็นยึดมดลูกแข็งแรงป้องกันการเคลื่อนต่ำของมดลูกและทำให้แผลฝีเย็บหายเร็วเนื่องจาก
มีการไหลเวียนของหลอดเลือดดี ทั้งช่วยลดอาการปวดหลังอีกด้วย<br />
<br />
<b>วิธีฝึกหัด</b><br />
<br />
อยู่ในท่านอนหงายราบไม่หนุนหมอน ลำตัวตรง ชันเข่า ข้อเท้าและปลายเท้าห่างกันเล็กน้อย
วางแขนและฝ่ามือคว่ำแนบราบกับพื้น
สูดหายใจเข้าช้าๆ ทางจมูกพร้อมกับขมิบก้นให้กระชับ นับ1-2-3-4 ในใจจึงคลายออกและหายใจออกพร้อมกับค่อยๆวางก้นและสะโพกลงกับพื้น
เริ่มต้นใหม่แบบเดิม ทำจนครบ 10 ครั้ง<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ท่าที่ 5 บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง Abdominal music Exercise </span></b><br />
<br />
เริ่มทำได้ตั้งแต่มารดาคลอดครบ 72 ชั่วโมง (เข้าสู่วันที่ 4 ของการคลอด)<br />
<br />
<b>ประโยชน์</b><br />
ช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง โดยเฉพาะ<br />
<br />
<span style="color: #b45f06;"><b>ข้อมูลจาก โรงพยาบาลธนบุรี</b></span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-91360262551611507932014-08-20T00:13:00.001-07:002014-08-20T00:13:27.731-07:00เคล็ดลับที่ดีเพื่อสุขภาพหัวใจ<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEge_XaxJsC_i5XNPXTDKzvWKKTLD1YeZ86H1BugJ2YpIaVPegEx_CavmfhgspdTV-CQqOs273kKNFCL__65ilC_-loLVZMQDHNFJTUTPLUWXaA-JaAMpQnk7UllivNoZZZMn-k4fFOEeR4/s1600/im.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img alt="เคล็ดลับที่ดีเพื่อสุขภาพหัวใจ" border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEge_XaxJsC_i5XNPXTDKzvWKKTLD1YeZ86H1BugJ2YpIaVPegEx_CavmfhgspdTV-CQqOs273kKNFCL__65ilC_-loLVZMQDHNFJTUTPLUWXaA-JaAMpQnk7UllivNoZZZMn-k4fFOEeR4/s1600/im.jpg" height="382" title="เคล็ดลับที่ดีเพื่อสุขภาพหัวใจ" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><u>เคล็ดลับที่ดีเพื่อสุขภาพหัวใจ</u></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<b>เคล็ดลับที่ดีเพื่อสุขภาพหัวใจ</b><br />
<br />
ดูแลตัวเองจากโรคที่เป็นภัยเงียบ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ควบคุมระดับความดันโลหิต น้ำตาลและไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ<br />
<br />
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ในคนที่ไม่เคยออกกำลังกาย ในช่วง 1-2 เดือนแรก แนะนำให้เริ่มจากเดินครึ่งชั่วโมง เมื่อร่างกายเริ่มคุ้นกับการออกกำลังกายแล้ว อาจจะเดินหรือวิ่งให้มากขึ้นได้ การออกกำลังกายเป็นวิธีการเพิ่ม HDL ซึ่งเป็นไขมันชนิดดี และลดไขมัน LDL ซึ่งเป็นไขมันชนิดร้ายได้ดีที่สุด<br />
<br />
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ได้แก่ อาหารที่มีเส้นใยสูง ไขมันต่ำ<br />
<br />
เลิกสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่เป็นต้นเหตุสำคัญของโรคหัวใจ ในคนที่สูบบุหรี่จะมีไขมัน HDL ต่ำลง พบว่าการหยุดสูบบุหรี่จะทำให้ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจลงครึ่งหนึ่งภายใน 1 ปี และเมื่อหยุดเกิน 5 ปี ถือว่าปัจจัยเสี่ยงกลับมาสู่ภาวะปกติ<br />
<br />
มีงานวิจัยพบว่าการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยๆ ให้ผลดีกับหัวใจ เช่น ไวน์แดงไม่เกินวันละ 2 แก้ว<br />
<br />
หากรักษาด้วยการใช้ยา ควรรับประทานยาต่อเนื่องและพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามการรักษาทุกครั้ง<br />
<br />Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6110440643323840503.post-86536563553455699492014-08-20T00:09:00.001-07:002014-08-20T00:09:17.461-07:00หัวใจอวัยวะสำคัญของร่างกาย หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดชีวิต<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9U1CLiPHUxwd0nh9RXNERhWeY9ephMp3S4GhO0DOvBWkqUhMHBUQMRY4jqW5PKdkPwQnyHw6OpIE1PAYk1tAJL3eCno-Z05enYGZuqYC103wI3uvTRiM3nIWj5Lk26qJuezvahyJM56Y/s1600/im.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img alt="หัวใจอวัยวะสำคัญของร่างกาย หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดชีวิต" border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9U1CLiPHUxwd0nh9RXNERhWeY9ephMp3S4GhO0DOvBWkqUhMHBUQMRY4jqW5PKdkPwQnyHw6OpIE1PAYk1tAJL3eCno-Z05enYGZuqYC103wI3uvTRiM3nIWj5Lk26qJuezvahyJM56Y/s1600/im.jpg" height="426" title="หัวใจอวัยวะสำคัญของร่างกาย หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดชีวิต" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><u>หัวใจอวัยวะสำคัญของร่างกาย หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดชีวิต</u></td></tr>
</tbody></table>
<br />
จากสถิติพบว่า <b><span style="color: #b45f06;">โรคหัวใจ</span></b>เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในอันดับต้นๆ ของคนทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย ในแต่ละวันมีคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจมากถึง 236 คน หรือกว่า 85,000 คนต่อปี และมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกๆ ปี และโรคหัวใจชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยที่สุดคือ “โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน”
<br />
<br />
ก่อนที่จะทำความรู้จักกับ<b><span style="color: #b45f06;">โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน</span></b> ควรทำความรู้จักกับ<b>หัวใจ</b>และความสำคัญของหัวใจ เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมเราจึงไม่อาจละเลยการดูแลอวัยวะชิ้นนี้ได้
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">หัวใจ</span></b>มีขนาดเท่ากำปั้นของเรา มีทั้งหมด 4 ห้อง ทำหน้าที่ในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายประมาณ 5 ลิตร/นาที โดยห้องซ้ายบนทำหน้าที่รับเลือดจากปอดและส่งมาห้องซ้ายล่างเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงตามร่างกาย ส่วนห้องขวาบนรับเลือดจากร่างกาย และส่งไปห้องขวาล่างเพื่อไปฟอกเลือดที่ปอด
<br />
<br />
เพราะฉะนั้น หัวใจจึงเป็นเสมือนศูนย์กลางการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงตามร่างกาย ถ้าหัวใจไม่แข็งแรง ส่วนอื่นก็จะอ่อนแอตามไปด้วย เนื่องจากอาจได้รับเลือดไม่เพียงพอ
<br />
<br />
แต่นอกจาก<b>หัวใจ</b>จะส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายแล้ว ตัวหัวใจเองก็ต้องการเลือดมาหล่อเลี้ยงด้วยเช่นกัน หัวใจจะมีหลอดเลือดมาเลี้ยงอยู่ 3 เส้น ด้านขวา 1 เส้นและด้านซ้าย 2 เส้น หลอดเลือดทั้งสามเส้นนี้จะทำหน้าที่ในการส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจทุกส่วน จึงมีความสำคัญมาก ถ้าหลอดเลือดหัวใจเกิดความผิดปกติ เช่น ตีบ อุดตัน ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการไหลเวียนเลือด ส่งผลต่อหัวใจและอวัยวะอื่นๆ ได้
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน</span></b> เป็นโรคของความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจ เกิดจากไขมันที่ไปเกาะผนังหลอดเลือด ซึ่งหากพอกหนาขึ้นเรื่อยๆ จะส่งผลให้หลอดเลือดตีบ หากหลอดเลือดตีบถึงระดับหนึ่ง ไขมันอาจแตกและกระตุ้นให้เกิดการสร้างลิ่มเลือดมาอุดตัน เป็นสาเหตุของการเกิดหัวใจพิบัติ (heart attack)
<br />
<br />
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ มีทั้งปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้แก่ อายุ มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ผู้ที่เป็น<b>โรคหัวใจ</b>ตั้งแต่อายุน้อย เพศ โดยเพศชายจะพบบ่อยกว่าเพศหญิง และปัจจัยที่หลีกเลี่ยงได้ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ระดับไขมันในเลือดสูง ความอ้วน เบาหวาน การไม่ออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์
<br />
<br />
สำหรับอาการผิดปกติของหัวใจ ที่น่าสนใจคือ<b> โรคหัวใจ</b>บ่อยครั้งจะไม่มีอาการ (พบได้ 30-40%) ในรายที่มีอาการ อาจมีอาการไม่สุขสบายเหมือนมีของหนักมาทับ หายใจไม่เต็มอิ่ม แน่นๆ เหนื่อยๆ เจ็บเหมือนถูกบีบ บางครั้งอาการอาจปรากฎไปถึงต้นคอหรือหัวไหล่ หรือลงมาที่หน้าท้อง (ในบริเวณเหนือกว่าสะดือขึ้นไป) ส่วนอาการเจ็บหน้าอกจะพบในคนตะวันตกมากกว่า ในคนแถบเอเชียพบน้อย ส่วนใหญ่มักเป็นอาการแน่นๆ เหนื่อยๆ มากกว่า
<br />
<br />
วิธีที่จะบอกได้อย่างแม่นยำที่สุดคือ การสังเกตตัวเอง หากมีอาการเหนื่อยเร็วผิดปกติ เหนื่อยเร็วกว่าเดิมโดยหาสาเหตุไม่ได้ เช่น เคยออกกำลังกาย เดินได้ 3 กิโลเมตร อยู่ๆ เดินได้แค่ 2 กิโลเมตรก็เหนื่อยแล้ว หากสงสัยว่าตัวเองอาจเป็น<b>โรคหัวใจ</b> ควรปรึกษาแพทย์
<br />
<br />
เมื่อมาพบแพทย์แล้ว สิ่งที่แพทย์จะทำคือตรวจร่างกาย ซักประวัติหาปัจจัยเสี่ยง <b><span style="color: #b45f06;">ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ</span></b> แต่คลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ปกติไม่ได้หมายความว่าหัวใจจะปกติด้วย หลังการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หากแพทย์ยังสงสัยว่าอาจเป็นโรคหัวใจ แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มโดยให้ผู้ป่วยเดินสายพาน หรือใช้วิธีอื่นๆ เช่น การใช้สารนิวเคลียร์ <b><span style="color: #b45f06;">การตรวจหลอดเลือดหัวใจ</span></b>ด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจสวนหัวใจ (การฉีดสี) ซึ่งแต่ละวิธีจะมีข้อบ่งชี้แตกต่างกันไป แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาวิธีที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วยแต่ละราย
<br />
<br />
สำหรับการรักษา แพทย์จะทำการประเมินโดยพิจารณาจากอาการของผู้ป่วย ถ้ามีอาการไม่มาก วิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ยา ซึ่งผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาต่อเนื่อง พบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อให้คุมโรคได้ดี
<br />
<br />
แต่ถ้าผู้ป่วยเป็นมาก แพทย์จะพิจารณารักษาด้วยวิธีการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนหรือการ<b>ผ่าตัดบายพาส</b> (การผ่าตัดต่อหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ) ซึ่งถ้าผู้ป่วยมาด้วยอาการหัวใจพิบัติ การรักษาจะต้องรีบเปิดหลอดเลือดหัวใจทันที แต่ถ้าอยู่ในสถานที่ที่อุปกรณ์ทางการแพทย์ไม่พร้อม ทางเลือกหนึ่งที่ใช้กันก็คือ การให้ยาละลายลิ่มเลือด โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การตัดสินใจเข้ารับการรักษา ยิ่งตัดสินใจเร็วเท่าไร ยิ่งช่วยหัวใจได้มากขึ้นเท่านั้น
<br />
<br />
ทราบถึงความสำคัญของหัวใจและอันตรายของโรคไปแล้ว อย่ารอช้า รีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อดูแลหัวใจให้มีสุขภาพดี โดยหลักสำคัญของการป้องกันหัวใจไม่ให้เกิดความผิดปกติ คือ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีเส้นใยสูง ไขมันต่ำ และออกกำลังกายเป็นประจำ
<br />
<br />
<b><span style="color: #b45f06;">ข้อมูลจาก โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์</span></b>Unknownnoreply@blogger.com